“การว่าจ้างโดยวิธีเหมาค่าแรง” เป็นประเด็นที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันว่า
- กรณีอย่างไรจึงจะเป็น “การว่าจ้างโดยวิธีเหมาค่าแรง” ?
- การที่กฎหมายกำหนดให้ถือว่าผู้ประกอบกิจการที่ว่าจ้างโดยวิธีเหมาค่าแรงเป็นนายจ้างของลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรงด้วย มีความหมายเพียงใด ?
- ควรห้ามมิให้มีการว่าจ้างโดยวิธีเหมาค่าแรงหรือไม่ ?
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเพียงประเด็นที่เกิดขึ้นในคดีที่จะหยิบยกมาให้พิจารณากันคือ จำเลยเป็น นายจ้างของโจทก์หรือไม่ ? ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการว่าจ้างโดยวิธีเหมาค่าแรง เนื่องจากในปัจจุบันมีสถานประกอบกิจการหลายแห่งได้หันมาใช้วิธีเหมาค่าแรงให้บุคคลอื่นรับผิดชอบในการจัดหาลูกจ้างมาทำงาน ซึ่งผู้รับเหมาค่าแรงจะได้ค่าตอบแทนในส่วนที่เกินไปจากค่าจ้างของลูกจ้าง
ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 (3) ได้กำหนดให้ นายจ้าง หมายความรวมถึง ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการได้ว่าจ้างด้วยวิธีเหมาค่าแรง โดยมอบให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดรับช่วงไปควบคุมดูแลการทำงานและรับผิดชอบจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างอีกทอดหนึ่งก็ดี มอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้จัดหาลูกจ้างมาทำงาน อันไม่ใช่การประกอบธุรกิจจัดหางานก็ดี โดยการทำงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการ ให้ถือว่าผู้ประกอบกิจการเป็นนายจ้างของลูกจ้างดังกล่าวด้วย
รายละเอียดของคดีดังกล่าวมีอยู่ว่า โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า เป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เป็นเงิน 10,500 บาท กับค่าล่วงเวลาอีก 750 บาท ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยให้ชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย แต่เป็นลูกจ้างของนาย ส. ซึ่งจำเลยว่าจ้างให้ต่อเรือโดยสารทัศนาจรให้จำเลย โดยจำเลยชำระค่าจ้างต่อเรือแก่นาย ส. ตามผลงานที่ทำได้ จึงไม่มีหนี้ที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์
ในระหว่างการพิจารณา จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้เรียกนาย ส. เข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาต จำเลยร่วมไม่ยื่นคำให้การ
ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาให้จำเลยร่วมกับจำเลยร่วมกันชำระค่าจ้างและค่าล่วงเวลาตามฟ้องให้แก่โจทก์
จำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลย ประกอบกิจการรับจ้างต่อเรือทุกประเภท รวมทั้งเรือโดยสารทัศนาจร จำเลยว่าจ้างจำเลยร่วมต่อเรือโดยสารทัศนาจร โดยให้ทำงานเชื่อมประกอบเรือ อันเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตหรือต่อเรือ จำเลยร่วมมีหน้าที่จัดหาแรงงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและเพียงพอแก่งาน โดยคนงานจะอยู่ในความควบคุมดูแลการทำงานของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างของตน โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยร่วมทำหน้าที่ช่างเชื่อม ได้รับค่าจ้างในอัตราตามฟ้อง และจำเลยร่วมค้างชำระค่าจ้างและค่าล่วงเวลา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยเป็นนายจ้างซึ่งต้องร่วมกับจำเลยร่วมชำระค่าจ้างและค่าล่วงเวลาตามฟ้องหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 ให้นิยามคำว่า “นายจ้าง” หมายถึง ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้ และหมายความรวมถึง (3) ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการได้ว่าจ้างด้วยวิธีเหมาค่าแรง โดยมอบให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดรับช่วงไปควบคุมดูแลการทำงานและรับผิดชอบจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างอีกทอดหนึ่งก็ดี มอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้จัดหาลูกจ้างมาทำงาน ….โดยการทำงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการ ให้ถือว่าผู้ประกอบกิจการเป็นนายจ้างของลูกจ้างดังกล่าวด้วย ฉะนั้น เมื่อจำเลยว่าจ้างจำเลยร่วมเพื่อดำเนินการต่อเรือตามสัญญาว่าจ้าง โดยจำเลยเป็นผู้จัดหาวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือซึ่งเป็นเครื่องมือหนัก ไฟฟ้าที่ใช้ในงานต่อเรือ พร้อมสถานที่ รถเครน แม่แรงตั้งแต่ 50 ตันขึ้นไปและเหล็กทั้งหมดที่ใช้ในการต่อเรือ อันเป็นวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือที่เป็นหลักและเป็นส่วนสำคัญในการทำงาน ส่วนจำเลยร่วมเป็นผู้จัดหาแรงงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและให้พอแก่งานกับจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ในส่วนปลีกย่อย มีลักษณะเป็นการเหมาค่าแรง ซึ่งจำเลยร่วมตกลงจะทำงานให้จำเลย โดยจำเลยจะจ่ายสินจ้างตลอดเวลาที่จำเลยร่วมทำงานให้ แต่มอบให้จำเลยร่วมรับช่วงไปดูแลการทำงานและรับผิดชอบจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้าง มิใช่จำเลยร่วมตกลงรับทำการงานสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้จำเลยจนสำเร็จ และจำเลยตกลงจะจ่ายสินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำ อันจะเป็นการจ้างทำของตามที่จำเลยอ้าง เมื่อการงานที่จำเลยร่วมกระทำคือการต่อเรือเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของจำเลย และโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยร่วมในการงานดังกล่าว ต้องถือว่าจำเลยเป็นนายจ้างของโจทก์ด้วยตามความในมาตรา 5(3) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แล้ว จำเลยจึงต้องร่วมกับจำเลยร่วมชำระค่าจ้างและค่าล่วงเวลาแก่โจทก์ตามฟ้อง(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6474/2546)
จากคำวินิจฉัยดังกล่าวข้างต้น คงจะทำให้หลายคนเข้าใจในเรื่องความแตกต่างกันระหว่าง “การว่าจ้างโดยวิธีเหมาค่าแรง” กับ “การจ้างทำของ” ได้ และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องบทบัญญัติของมาตรา 5 (3) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3918/2546 ก็ได้วินิจฉัยว่า “โจทก์ประกอบธุรกิจค้าข้าว ในการซื้อขายข้าวแต่ละคราว เมื่อโจทก์จะต้องขนข้าวลงเรือเพื่อส่งให้แก่ผู้ซื้อจากต่างประเทศ โจทก์จะว่าจ้างนาย ส. จีนเต็งใหญ่เป็นผู้รับเหมาค่าแรงทำการขนข้าวลงเรือ นาย ส. จะแจ้งให้จีนเต็งหัวหน้าสายไปจัดหาคนงานตามจำนวนพอเหมาะกับปริมาณข้าวที่จะขนถ่ายลงเรือมาแบกข้าวลงเรือ การทำงานดังกล่าวของคนงานอยู่ภายใต้การควบคุมและสั่งการของจีนเต็งหัวหน้าสายและนาย ส. และเมื่อทำงานเสร็จในแต่ละวันคนงานจะได้รับค่าจ้างโดยคำนวณตามจำนวนไม้ติ้วที่คนงานได้รับ ซึ่งไม่เท่ากันในแต่ละวัน โดยนาย ส. เพียงคนเดียวเป็นผู้จ่ายค่าจ้างให้แก่คนงานทั้งหมด ดังนี้ นาย ส. จึงเป็นนายจ้างของคนงานทั้งหมด และเมื่อปรากฏว่านาย ส. ควบคุมคนงานให้ทำงานในโกดังอันเป็นสถานประกอบกิจการของโจทก์ และใช้เครื่องมือที่สำคัญสำหรับใช้ทำงานที่โจทก์เป็นผู้จัดหาให้ โดยการทำงานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจของโจทก์ โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะนายจ้างของคนงานทั้งหมดด้วยตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 35 วรรคหนึ่ง” พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5(3) และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 35 บัญญัติไว้ในลักษณะอย่างเดียวกัน
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น