รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นำเงินค่าตั๋วไปใช้แล้วนำมาคืน

การที่ลูกจ้างซึ่งเป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารประจำรถโดยสาร นำเงินค่าตั๋วไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว แล้วนำเงินนั้นมาคืนจะมีผลอย่างไร ?

เรื่องมีอยู่ว่า ลูกจ้างได้ยื่นฟ้องนายจ้างว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2537 จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายตำแหน่งพนักงานเก็บค่าโดยสาร ในอัตราค่าจ้างสุดท้ายวันละ 240 บาท และส่วนแบ่งรายได้จากยอดขายตั๋วโดยสารครั้งสุดท้าย 3,327 บาท วันที่ 30 มกราคม 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่า โจทก์กระทำการทุจริตชักไส้ตั๋วขายรวมเป็นเงิน 1,820 บาท และเบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นของตน โจทก์ไม่มีเจตนาทุจริตในการจำหน่ายตั๋วราคา 6 บาท จำนวนสองม้วนในคราวเดียวกัน ส่วนตั๋วราคา 8 บาท และ 12 บาทจะมีการหายจริงหรือไม่ ไม่ขอรับรองเพราะมีการตรวจสอบหลังจากที่ตั๋วได้เปลี่ยนการครอบครองไปยังพนักงานห้องตั๋วแล้วและไม่ได้ตรวจต่อหน้าโจทก์ คณะกรรมการสอบสวนของจำเลยมิได้สอบสวนด้วยความละเอียดถี่ถ้วนและยุติธรรม คำสั่งเลิกจ้างโจทก์จึงมิชอบ โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างที่ 59/2544 ลงวันที่ 30 มกราคม 2544 และให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน พร้อมจ่ายค่าจ้างและเงินผลประโยชน์หรือรายได้ทั้งหมดนับตั้งแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะรับกลับเข้าทำงาน หากจำเลยไม่ยอมรับกลับ ให้จ่ายเงิน

ค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างครั้งสุดท้าย 240 วัน คิดเป็นเงิน 84,216 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นงินดังกล่าว นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และจ่ายค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คิดเป็นเงิน 119,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 240 บาท เฉพาะวันที่มาปฏิบัติหน้าที่ จำเลยจะจ่ายเงินรายได้จากค่าโดยสารต่อเมื่อโจทก์ทำงานเกินเวลาปกติ(8 ชั่วโมง) โดยไม่ได้รับค่าล่วงเวลา จำเลยพบว่าในการขายตั๋วโดยสารวันที่ 7 พฤศจิกายน 2543 ชนิดราคา 6 บาท โจทก์ได้ต่อตั๋วสองม้วนโดยใช้เทปใสติดด้านหลังทับเป็นม้วนเดียวกันโดยม้วนที่มีเลขหน้าตั๋วเริ่มต้นที่ 6644000 ถูกตัดขายไป 184 ใบ แต่ไม่ได้ระบุการขายตั๋วจำนวนนี้ไว้ในใบทำงาน บช.ข. 1 ต่อมาจำเลยตรวจสอบพบว่ายังมีตั๋วที่โจทก์เบิกและเหลือจากการจำหน่ายอีก 3 ม้วน คือราคา 8 บาท 12 บาท และ 14 บาท ถูกชักไส้ตั๋วไปจำหน่าย หลังเกิดเหตุโจทก์ยอมรับว่าได้จำหน่ายตั๋วราคา 6 บาทจำนวน 184 ใบ เป็นเงิน 1,104 บาท และนำเงินดังกล่าวไปชำระหนี้ส่วนตัว และได้ชักไส้ตั๋วราคา 8 บาท 12 บาท และ 14 บาท ออกจำหน่ายจริง รวมเงินที่โจทก์ทุจริตไปทั้งหมด 1,820 บาท จึงเป็นการทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับของจำเลย คำสั่งที่ไล่โจทก์ออกจากการเป็นพนักงานจึงชอบแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและค่าเสียหายใด ๆ ขอให้ศาลแรงงานกลางยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งพนักงานเก็บค่าโดยสารประจำรถโดยสารปรับอากาศสาย ปอ. 15 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ขายตั๋วโดยสารชนิดราคา 6 บาท จำนวน 184 ใบ เป็นเงิน 1,104 บาท แล้วโจทก์นำเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวและโจทก์ได้ชักไส้ตั๋วโดยสารชนิดราคา 8 บาท 12 บาท และ 14 บาท ออกขายคิดเป็นเงิน 716 บาท แล้วนำเงินไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว เป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงมีโทษขั้นไล่ออกตามข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 46และจำเลยไล่โจทก์ออกจากงานตามคำสั่งที่ 59/2544 ลงวันที่ 30 มกราคม 2544 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อกฎหมายว่า การที่โจทก์ใช้เงินคืนแก่จำเลยมีผลทำให้ความผิดของโจทก์เป็นความผิดที่ไม่ร้ายแรงหรือไม่

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า การกระทำของโจทก์ที่กระทำผิดไปแล้วนั้นจะเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ ย่อมต้องพิเคราะห์ถึงการกระทำของโจทก์ในขณะนั้น โจทก์มีหน้าที่เก็บค่าโดยสารแล้วเบียดบังเอาเงินค่าโดยสารไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวและชักไส้ตั๋วโดยสารออกขายโยปกปิดความจริงไว้ อันเป็นเหตุให้จำเลยเข้าใจผิดว่าตั๋วโดยสารยังอยู่ครบถ้วนไม่ได้ขายไป แล้วโจทก์นำเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวซึ่งเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ และประกอบด้วยข้อบังคับของจำเลยที่กำหนดว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง การกระทำของโจทก์ถือว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง แม้ภายหลังโจทก์จะได้ชดใช้เงินคืนแล้ว ก็หาทำให้ความผิดวินัยอย่างร้ายแรงนั้นกลับกลายเป็นความผิดที่ไม่ร้ายแรงไม่ แต่การที่โจทก์คืนเงินแก่จำเลยก็อาจเป็นเหตุที่จะนำมาพิจารณาเพื่อลดหย่อนโทษให้แก่โจทก์ได้ ซึ่งตามอุทธรณ์ของโจทก์พอจะแปลความต่อไปได้ว่า โจทก์ขอให้พิจารณาเพื่อขอลดหย่อนโทษให้แก่โจทก์ตามข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 46 ข้อ 8 วรรคท้าย ซึ่งกำหนดว่า โทษไล่ออกตามข้อ 8 เว้นแต่ 8.1 8.7 8.8 และ8.9 นี้ ถ้ามีเหตุอันสมควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษต่ำกว่าให้ออก เห็นว่า เหตุควรลดหย่อนโทษดังกล่าวจะนำมาใช้ได้ต่อเมื่อไม่ใช่กรณีความผิดตามข้อ 8.1 8.7 8.8 และ 8.9 แต่กรณีของโจทก์เป็นความผิดตามข้อ 8 และ 8.1 จึงย่อมไม่สามารถนำเอาเหตุที่โจทก์คืนเงินแก่จำเลยเป็นข้อพิจารณาเพื่อเป็นเหตุลดหย่อนโทษให้แก่โจทก์ได้ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 872/2548)

นี่แหละครับ......ชีวิตของลูกจ้างที่มีรายได้น้อยนิด เมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่มากกว่ารายได้ จึงต้องดิ้นรนหารายได้เพิ่ม แต่สำหรับรายนี้ใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะทางที่ถูกจะต้องทำงานให้มากขึ้น หนักขึ้น จึงจะมีรายได้เพิ่ม เพียงพอที่จะนำมาจับจ่ายใช้สอยได้ตามที่ปรารถนา เรื่องนี้คงเป็นข้อเตือนใจได้บ้าง แม้ในปัจจุบันลูกจ้างอาจมีช่องทางแก้ไขปัญหาหนี้สินโดยการใช้บัตรเครดิต หรือแหล่งเงินกู้นอกระบบ แต่นั่นคือสัญญาณอันตรายยิ่งกว่า จึงอยากฝากเตือนมาไว้ในที่นี้ ให้ยึดหลักมีน้อยใช้น้อย ไม่ก่อหนี้ จะปลอดภัยกว่า เพราะว่าหากยังมีงานทำก็อาจจะใช้หนี้สินได้ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่านายจ้างจะจ้างคุณตลอดไป

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น