รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

เรียกเงินประกันความเสียหาย

มีเรื่องที่นายจ้างและลูกจ้างพิพาทกันเกี่ยวกับ เงินประกันความเสียหายที่นายจ้างไม่ยอมคืนให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจคือ นายจ้างเรียกเงินประกันความเสียหายจากลูกจ้างได้หรือไม่ และนายจ้างจะยึดเงินประกันชดใช้ค่าเสียหายได้หรือไม่ ลองติดตามดูรายละเอียดเอาเองก็แล้วกันครับ

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานภาค 2 ว่า จำเลยเป็นพนักงานตรวจแรงงานของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยอง ได้รับคำร้องของนาย ณ. ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ว่า โจทก์ปลดนาย ณ. ออกจากการเป็นลูกจ้างและยังไม่คืนเงินประกันความเสียหาย ต่อมาจำเลยมีคำสั่งที่ 18/2546 ให้โจทก์จ่ายเงินประกันความเสียหายจำนวน 25,600 บาทคืนแก่นาย ณ. โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของจำเลยเพราะเหตุว่านาย ณ. เป็นลูกจ้างของโจทก์ในตำแหน่งพนักงานขับรถเครน มีหน้าที่ขับรถเครนซึ่งเป็นงานที่ต้องควบคุมและรับผิดชอบยานพาหนะที่เป็นทรัพย์สินของโจทก์ไม่ให้ได้รับความเสียหาย และโจทก์ยังได้มอบหมายหน้าที่เกี่ยวกับการประสานงานจัดพนักงานในการออกปฏิบัติงานตามรถต่าง ๆ และโจทก์จะคืนเงินประกันความเสียหายเมื่อลูกจ้างพ้นจากการเป็นพนักงานของโจทก์แล้วเป็นเวลา 60 วัน นับจากวันที่หัวหน้าควบคุมงานและผู้จัดการได้ลงชื่ออนุมัติใบลาออก แต่หากลูกจ้างลางานหรือหยุดงานโดยไม่ได้รับอนุญาตจะไม่ได้รับเงินประกันคืน นาย ณ. ได้ขาดงานเกิน 2 วันทำงานติดต่อกัน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยนาย ณ. ไม่ได้เขียนใบลาหรือแจ้งให้โจทก์ทราบแต่อย่างใด ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงและละทิ้งหน้าที่ โจทก์จึงปลดนาย ณ. ออกเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2545 และนาย ณ. ไม่มีสิทธิได้รับคืนเงินประกัน ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยอง ที่ 18/2546

จำเลยให้การว่า นาย ณ. ลูกจ้างของโจทก์ทำงานในหน้าที่พนักงานขับรถเครนซึ่งเป็นเพียงอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ใช้สำหรับการทำงาน มิใช่ยานพาหนะ ลักษณะหรือสภาพของงานจึงมิได้เกี่ยวข้องกับการเงินหรือทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเก็บเงินประกันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 10 โจทก์จึงต้องคืนเงินประกันความเสียหายดังกล่าวแก่นาย ณ. ตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 18/2546 และนาย ณ. ไม่ได้ขาดงานเกินกว่า 2 วันติดต่อกันโดยไม่ได้เขียนใบลา อันทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานภาค 2 พิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว วินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 2 รับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด นาย ณ. เป็นลูกจ้างของโจทก์ มีหน้าที่ขับรถเครนของบริษัทโจทก์และขับรถยนต์รับส่งพนักงานซึ่งมีหน้าที่คล้องสลิงรถเครนและรองไม้รถฟอร์คลิฟท์ สำหรับรถยนต์ที่นาย ณ. ใช้ขับรถส่งพนักงานนั้นเป็นรถยนต์ของนาย ณ. บริษัทโจทก์ได้หักเงินเดือนของนาย ณ. ตลอดมาจนครบจำนวน 25,600 บาท ไว้เป็นประกันความเสียหายในการทำงาน ต่อมาวันที่ 30 พฤศจิกายน 2545 โจทก์เลิกจ้างนาย ณ. อ้างว่า นาย ณ. ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2545 โดยมิได้เขียนใบลาและแจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์จึงไม่คืนเงินประกันจำนวน 25,600 บาท ให้แก่นาย ณ. นาย ณ. ได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยซึ่งเป็นพนักงานตรวจแรงงาน จำเลยได้สอบสวนข้อเท็จจริงแล้วมีคำสั่งให้โจทก์คืนเงินประกันจำนวน 25,600 บาท แก่นาย ณ. ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่าการที่นาย ณ. มีหน้าที่ขับรถเครนของโจทก์ ซึ่งตามสภาพของงานต้องควบคุมรถเครนอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ได้ โจทก์จึงเรียกเก็บเงินประกันความเสียหายจากการทำงานจากนาย ณ. ได้ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 25441 มาตรา 10 แต่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นาย ณ. ได้ขับรถยนต์รับส่งพนักงานของโจทก์ เมื่อวันที่ 2 ถึง 4 และวันที่ 7 ถึง 8 พฤศจิกายน 2545 โดยที่นาย ณ. มิได้ละทิ้งหน้าที่ แต่โจทก์โดยนาย ก. ได้สั่งพักงานนาย ณ. โดยไม่มีกำหนด การที่นาย ณ. ไม่มาทำงานในระหว่างที่ถูกสั่งพักงานไม่ใช่ความผิดของนาย ณ. และฟังไม่ได้ว่านาย ณ. ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของโจทก์ ไม่อาจหักเงินประกันของนาย ณ. มาชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จึงต้องคืนเงินประกัน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2822/2548)

หลายคนอาจจะงง จึงขอนำข้อกฎหมายมาให้ศึกษากันอย่างชัด ๆ คือ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 25441 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “..............ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานที่ทำนั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้ ทั้งนี้ ลักษณะหรือสภาพของงานที่ให้เรียกหรือรับเงินประกันจากลูกจ้างได้ ตลอดจนจำนวนเงินและวิธีการเก็บรักษา ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด” และประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2541 กำหนดว่า “ ข้อ 4 งานเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินที่นายจ้างจะเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้างได้ ได้แก่

(1) งานสมุห์บัญชี

(2) งานพนักงานเก็บและหรือจ่ายเงิน

(3) งานเฝ้าหรือดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินของนายจ้างหรือที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายจ้าง

(4) งานติดตามหรือเร่งรัดหนี้สิน

(5) งานควบคุมหรือรับผิดชอบยานพาหนะ

(6) งานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้เช่าทรัพย์ ให้เช่าซื้อ ให้กู้ยืม รับฝากทรัพย์ รับจำนอง รับจำนำ เก็บของในคลังสินค้า รับประกันภัย รับโอนหรือจัดส่งเงิน หรือการธนาคาร

ทั้งนี้ เฉพาะลูกจ้างซี่งเป็นผู้ควบคุมเงินหรือทรัพย์สินเพื่อการที่ว่านั้น”

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น