รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ใช้สิทธิ 2 ทาง

เนื่องจากบ้านเรามีกฎหมายค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายแรงงานมีอยู่หลายฉบับ เช่น กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีแรงงาน กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละฉบับให้สิทธิบางอย่างกับลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง จนบางครั้งหลายคนอาจรู้สึกสงสัยว่าเป็นเรื่องที่ซ้ำซ้อนกันหรือไม่ ? เช่น สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายในกรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เป็นต้น ความจริงเรื่องนี้มีขอบเขตของแต่ละเรื่องอยู่เหมือนกัน ไม่ถึงกับซ้ำซ้อนกันแต่อย่างใด ทั้งนี้ สาเหตุหนึ่งก็คือ เมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้แล้ว การที่จะยกเลิกสิทธิบางประการของลูกจ้าง ดูเหมือนว่าในทางปฏิบัติจะไม่ค่อยมีใครกล้าพูดความจริงกัน

ดังนั้น ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ก็มีความสับสนอยู่บ้างว่า เรื่องใดที่ลูกจ้างควรให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ เรื่องใดลูกจ้างควรนำเรื่องไปฟ้องศาล รวมทั้งบางครั้งฝ่ายลูกจ้างเองก็อยากได้รับสิทธิต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ปัญหาจึงเกิดขึ้นมาว่า หากลูกจ้างใช้สิทธิร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่แล้วลูกจ้างจะนำเรื่องไปฟ้องศาลได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ได้หรือไม่ ?

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์สิบสองคนได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสิบสองคนเป็นลูกจ้างทำงานให้แก่จำเลย กำหนดเวลาทำงานปกติคือ 07.00 นาฬิกา ถึง 16.00 นาฬิกา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2545 จำเลยมีประกาศเปลี่ยนแปลงการทำงานสำหรับพนักงานฝ่ายผลิตและที่เกี่ยวข้องกับการผลิต เป็นเวลาทำงาน กะที่ 1 เวลา 07.00 ถึง 16.00 นาฬิกา กะที่ 2 เวลา 16.30 นาฬิกา ถึง 01.30 นาฬิกา โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์และไม่ได้มีการแจ้งข้อเรียกร้องให้ถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ 18, 19 และ 27 เมษายน 2545 โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 8 ที่ 11 ที่ 12 วันที่ 17,18, 19, และที่ 27 เมษายน 2545 โจทก์ที่ 3 และที่ 10 วันที่ 19, 27 เมษายน 2545 โจทก์ที่ 9 ไปทำงานตามปกติ แต่จำเลยไม่ให้โจทก์ทั้งสิบสองคนเข้าทำงาน โดยอ้างว่าต้องเข้ากะตามเวลาที่จำเลยกำหนด จำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์ทั้งสิบสองคนตั้งแต่วันที่ 20 ถึงวันที่ 26 เมษายน 2545 อ้างว่าฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่ให้ทำงานเป็นกะ โดยจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างวันที่โจทก์ทั้งสิบสองคนไปทำงานดังกล่าวข้างต้นและในวันที่จำเลยสั่งพักงาน โจทก์ทั้งสิบสองคนขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างค้างแก่โจทก์ทั้งสิบสองคน พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสิบสองคน

จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสิบสองคนเป็นลูกจ้างของจำเลย อัตราค่าจ้างและวันที่เริ่มทำงานถูกต้องตามฟ้อง เมื่อวันที่ 17, 18 19 เมษายน 2545 โจทก์ทั้งสิบสองคนขาดงาน ไม่มาทำงานตามปกติและไม่ได้เขียนใบลาตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย จำเลยจึงไม่จ่ายค่าจ้างในวันดังกล่าว จำเลยลงโทษโจทก์ทั้งสิบสองคนด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือและพักงานเป็นเวลา 6 วันทำงาน โดยไม่จ่ายค่าจ้างตั้งแต่วันที่ 20 ถึงวันที่ 26 เมษายน 2545 ต่อมาวันที่ 27 เมษายน 2545 ซึ่งเป็นวันทำงาน โจทก์ทั้งสิบสองคนไม่มาทำงานและไม่ได้เขียนใบลาตามระเบียบ จำเลยจึงไม่จ่ายเงินในวันดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสิบสองคน จำเลยไม่เคยเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาการทำงานของพนักงานฝ่ายผลิตหรือหน่วยงานอื่นใด โดยประกาศให้ทำงานเป็นกะเพราะสภาพการจ้างของบริษัทจำเลยมีการทำงานเป็นกะมาก่อนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสิบสองคน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่คู่ความแถลงรับกันว่า ก่อนที่โจทก์ทั้งสิบสองคนจะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์ทั้งสิบสองคนได้ร้องเรียนต่อพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานเขตบึงกุ่มว่า จำเลยได้เปลี่ยนแปลงรอบเวลาการทำงานปกติจากเดิมซึ่งมีกะเดียวเวลา 07.00 นาฬิกาถึง 16.00 นาฬิกา โดยจำเลยเพิ่มรอบเวลาทำงานเป็นสองกะคือ กะแรกเวลา 07.00 นาฬิกาถึง 16.00 นาฬิกา กะที่สองเวลา 16.30 ถึงเวลา 01.30 นาฬิกา ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2545 เป็นต้นไป อันเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2545 ถึงวันที่ 19 เมษายน 2545 โจทก์ทั้งสิบสองคนไปทำงานตามปกติเวลา 07.00 นาฬิกา แต่จำเลยไม่ยินยอมให้โจทก์ทั้งสิบสองคนเข้าไปภายในบริเวณโรงงานของจำเลย และจำเลยถือว่าโจทก์ทั้งสิบสองคนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ให้โจทก์ทั้งสิบสองคนทำงานในกะที่สอง จำเลยจึงลงโทษโจทก์ทั้งสิบสองคนเป็นหนังสือเตือนและพักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้างตั้งแต่วันที่ 20 ถึงวันที่ 26 เมษายน 2545 ดังนี้ แม้เรื่องที่โจทก์ทั้งสิบสองคนได้ร้องเรียนต่อพนักงานตรวจแรงงานจะไม่มีกรณีที่โจทก์ทั้งสิบสองคนร้องเรียนว่าจำเลยหักค่าจ้างในช่วงระหว่างเวลาที่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์ทั้งสิบสองคนเข้าไปภายในบริเวณโรงงานของจำเลย กับช่วงระหว่างเวลาที่จำเลยพักงานโจทก์ทั้งสิบสองคนดังที่โจทก์ฟ้องต่อศาลแรงงานกลางก็ตาม แต่คดีนี้และกรณีที่โจทก์ทั้งสิบสองคนร้องเรียนต่อพนักงานตรวจแรงงานก็มีมูลคดีสืบเนื่องจากการที่จำเลยเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานปกติจากกะเดียวเป็นสองกะโดยไม่ชอบ และเมื่อโจทก์ทั้งสิบสองคนจะเข้าทำงานตามรอบเวลาทำงานปกติ จำเลยไม่ยินยอมให้โจทก์ทั้งสิบสองคนเข้าไปภายในโรงงานของจำเลย ซึ่งจะเห็นได้ว่า โจทก์ทั้งสิบสองคนกับจำเลยจะต้องพิพาทกันด้วยเงินค่าจ้างในระหว่างวันเวลาที่จำเลยไม่ยินยอมให้โจทก์ทั้งสิบสองคนเข้าไปภายในบริเวณโรงงานของจำเลย ทั้งยังปรากฏในเวลาต่อมาว่า จำเลยมีคำสั่งลงโทษโจทก์ทั้งสิบสองคนโดยพักงานและไม่จ่ายค่าจ้างให้ จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสิบสองคนร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานว่าจำเลยผู้เป็นนายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใด และประสงค์ให้พนักงานตรวจแรงงานดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง นั่นเอง ซึ่งในกรณีนี้โจทก์ทั้งสิบสองคนอาจจะเลือกที่จะใช้สิทธิฟ้องร้องต่อศาลแรงงานก็ได้ โดยจะต้องใช้สิทธิทางใดทางหนึ่ง แต่จะใช้สิทธิพร้อมกันทั้งสองทางไม่ได้ ดังนั้นเมื่อโจทก์ทั้งสิบสองคนยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานกล่าวหาว่าจำเลยฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินของโจทก์ทั้งสิบสองคนดังกล่าวข้างต้น ต่อพนักงานตรวจแรงงานแล้ว โจทก์ทั้งสิบสองคนย่อมไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีนี้ต่อศาลแรงงานกลางจนกว่าการดำเนินการของพนักงานตรวจแรงงานจะสิ้นสุด ศาลแรงงานย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ทั้งสิบสองคนที่ฟ้องเรียกเงินค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับฟ้องและพิจารณาพิพากษาคดีนี้จึงไม่ชอบ ข้อกฎหมายนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความแพ่ง มาตรา 142 , มาตรา 246 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10277-10288/2546)

ด้วยความเคารพต่อศาลฎีกา ความจริงประเด็นนี้ไม่มีข้อกฎหมายกำหนดไว้โดยชัดแจ้งว่า โจทก์ไม่มีสิทธิใช้สิทธิ 2 ทาง และไม่ได้กำหนดว่า ศาลแรงงานไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำฟ้องในคดีนี้ แต่ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานใช้หลักในการตีความกฎหมายมาปรับ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ จึงน่าจะเป็นสิทธิที่โจทก์จะใช้อย่างไรก็ได้ การใช้สิทธิทั้งสองทางไม่น่าจะเป็นปัญหา เพียงแต่ว่าหากข้อเท็จจริงปรากฏขึ้นมา ศาลก็สามารถใช้ดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริง หรือสั่งให้รอฟังข้อเท็จจริงจากสำนวนของเจ้าหน้าที่ก่อนได้ รวมทั้งการชี้แจงให้โจทก์ทราบถึงผลเสียในการที่ใช้สิทธิสองทางเพื่อให้โจทก์เลือกใช้สิทธิทางใดทางหนึ่งก็ได้

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น