บางครั้งเมื่อมีสิทธิเรียกร้องอะไรเกิดขึ้น จำเป็นที่จะต้องรีบใช้สิทธิเรียกร้องนั้น เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดอายุความในการเรียกร้องนั้นไว้สั้นมาก เช่น ๑ เดือน ๓ เดือน หรือ ๑ ปี เป็นต้น ซึ่งหลายคนอาจจะไม่ได้นึกถึง ทำให้สิทธิเรียกร้องที่พึงมีพึงได้ต้องสูญเสียไป ดังเช่นคดีข้างล่างนี้
เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๗ เงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ ๒๑,๖๒๐ บาท ในวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ และในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๔๑ จำเลยมีคำสั่งที่ ๑๗๖/๒๕๓๙ และ ๑๙/๒๕๔๑ ขึ้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ แต่ต่อมาจำเลยมีคำสั่งที่ ๒๘/๒๕๔๒ , ๓๔/๒๕๔๒ และ ๔๒/๒๕๔๒ แก้ไขการเลื่อนขั้นเงินเดือนของโจทก์โดยมิชอบ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเสียสิทธิที่จะได้รับเงินเดือนย้อนหลังกับเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนของโจทก์จากฐานอัตราเงินเดือนที่จำเลยได้ทำการปรับลดลงนับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๙ ถึงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๓ เป็นเงิน ๕๒,๔๘๘.๓๐ บาท ตามลำดับ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าเสียหายเนื่องจากการที่จำเลยจ่ายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่ถูกต้องแก่โจทก์เป็นเงิน ๔,๗๒๓.๙๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี กับค่าจ้างจำนวน ๕๒,๔๘๘.๓๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อไป นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ในปี ๒๕๓๙ ขณะโจทก์ได้รับเงินเดือนอัตราเดือนละ ๑๖,๙๕๐ บาท โจทก์ถูกลงโทษทางวินัยตัดเงินเดือนจำนวนร้อยละ ๑๐ เป็นเวลา ๖ เดือนตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๙ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๐ ตามคำสั่งที่ ๑๕๖/๒๕๓๙ เมื่อโจทก์ถูกตัดเงินเดือนตามระเบียบของจำเลยเกี่ยวกับการพิจารณาบำเหน็จประจำปี ข้อ ๙ (๘) โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับการพิจารณาบำเหน็จประจำปี แต่จำเลยมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนจึงได้เลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์ในปีงบประมาณ ๒๕๔๐ จากเงินเดือน ๑๖,๙๕๐ บาท เป็นเงิน ๑๗,๙๙๐ บาท ตามคำสั่งที่ ๑๗๖/๒๕๓๙ และปี งบประมาณ ๒๕๔๑ จากเงินเดือน ๑๗,๙๙๐ บาท เป็น ๑๙,๑๑๐ บาท ตามคำสั่งที่ ๑๙/๒๕๔๑ ต่อมาจำเลยตรวจพบความคลาดเคลื่อนในการขึ้นเงินเดือนของโจทก์ จึงมีคำสั่งที่ ๒๘/๒๕๔๒ แก้ไขคำสั่งที่ ๑๗๖/๒๕๓๙ เปลี่ยนจากอัตราเงินเดือน ๑๗,๙๙๐ บาท เหลือ ๑๖,๙๕๐ บาท มีคำสั่งที่ ๓๔/๒๕๔๒ แก้ไขคำสั่งที่ ๑๙/๒๕๔๑ เปลี่ยนจากอัตราเงินเดือน ๑๙,๑๑๐ บาท เหลือ ๑๗,๙๙๐ บาท และมีคำสั่งที่ ๔๒/๒๕๔๒ ให้เลื่อนขั้นเงินเดือนจาก ๑๗,๙๙๐ บาท เป็น ๑๘,๕๕๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม๒๕๔๑ เป็นต้นไป อัตราเงินเดือนสุดท้ายของโจทก์จึงเป็นเดือนละ ๑๘,๕๕๐ บาท เมื่ออัตราเงินเดือนลดลงการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งกำหนดเป็นร้อยละ จึงย่อมลดตามอัตราส่วนไปด้วย โจทก์จึงได้รับเงินเดือนส่วนเกินเป็นเงิน ๒๙,๒๘๐ บาท ค่าล่วงเวลา ๕๓๗ บาทรวมเป็นเงิน ๒๙,๘๑๗ บาท แต่ช่วงที่โจทก์ถูกลงโทษทางวินัยให้ตัดเงินเดือนร้อยละ ๑๐ ต่อเดือนนั้น จำเลยหักเกินไป ๕๒๐ บาท เมื่อหักออกแล้งคงเหลือเงินที่โจทก์จะต้องคืนจำเลย ๒๙,๒๙๗ บาท จำเลยทวงถามแล้วแต่โจทก์เพิกเฉย ขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์คืนเงิน ๒๙,๒๙๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การและแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เมื่อคำสั่งที่แก้ไขการขึ้นเงินเดือนไม่ถูกต้องโจทก์จึงมีเงินเดือนสุดท้ายเดือนละ ๒๑,๖๒๐ บาท จำเลยไม่มีสิทธิเรียกเงินจำนวน ๒๙,๒๙๗ บาท คืนจากโจทก์เพราะขาดอายุความลาภมิควรได้ ๑ ปี โจทก์รับเงินดังกล่าวไว้โดยสุจริตได้นำไปใช้จ่ายหมดสิ้นแล้ว ทั้งไม่มีดอกผลเกิดจากเงินดังกล่าว จำเลยนำโทษตัดเงินเดือนซึ่งเป็นโทษเก่ามากล่าวหาโจทก์ซ้ำซ้อนซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงทึ่สุดแล้ว และจำเลยได้จ่ายค่าจ้างโจทก์ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลา ๒ ปี ๖ เดือน หลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดย่อมต้องถือว่า ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้โจทก์คืนเงิน ๒๙,๒๙๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๔๔ อันเป็นวันฟ้องแย้งไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อ เท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ในปี ๒๕๓๙ โจทก์ก็มีตำแหน่งเป็นช่างอิเล็กทรอนิคการบินสอง อัตราเงินเดือน ๑๖,๙๕๐ บาท แต่โจทก์ถูกลงโทษทางวินัยให้ตัดเงินเดือนร้อยละ ๑๐ เป็นเวลา ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๙ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๐ แต่เนื่องจากความบกพร่องในการปฏิบัติงานภายในของจำเลย จำเลยได้มีคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ในปี ๒๕๔๐ ตามคำสั่งที่ ๑๗๖/๒๕๓๙ และส่งผลให้ฐานเงินเดือนในการเลื่อนเงินเดือนในปีงบประมาณ ๒๕๔๑ คลาดเคลื่อนทำให้คำสั่งเลื่อนเงินเดือนให้แก่โจทก์ตามคำสั่งที่ ๑๙/๒๕๔๑ คลาดเคลื่อนตามไปด้วยและวินิจฉัยว่าคำสั่งเลื่อนเงิน เดือนที่ ๑๗๖/๒๕๓๙ และ ๑๙/๒๕๔๑ให้แก่โจทก์เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ โจทก์ไม่อาจอาศัยคำสั่งดังกล่าวเรียกร้องเงินใด ๆ ได้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า เงินค่าจ้างที่โจทก์ได้รับเกินไปตามคำสั่งที่ ๑๗๖/๒๕๓๙ และ ๑๙/๒๕๔๑ นั้น เป็นลาภมิควรได้หรือไม่และฟ้องแย้งของจำเลยขาดอายุความแล้วหรือไม่เห็นว่าเงินจำนวน ๒๙,๒๙๗ บาท ที่โจทก์ได้รับเกินไปตามคำสั่งที่ ๑๗๖/๒๕๓๙ และ ๑๙/๒๕๔๑ นั้น เป็นเงินที่โจทก์ได้รับมาจากจำเลยโดยคำสั่งที่ไม่ชอบ จึงเป็นการได้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นผลให้จำเลยเสียเปรียบ จึงเป็นลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๖ วรรคแรก โจทก์ต้องคืนให้แก่จำเลย แต่เมื่อได้ความว่าจำเลยทราบถึงความบกพร่องในการเลื่อนเงินเดือนเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ จำเลยฟ้องแย้งวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๔๔ เป็นการฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด ๑ ปีนับแต่เวลาที่จำเลยรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืนตามมาตรา ๔๑๙ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงขาดอายุความแล้ว ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๐๑/๒๕๔๘)
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น