ขอนำเรื่องที่พิพาทกันเกี่ยวกับการยื่นฟ้องว่า ในกรณีที่เคยมีการฟ้องร้องกันมาแล้ว จะยื่นฟ้องกันใหม่ได้เพียงใด ลองติดตามดูนะครับ
คดีนี้ลูกจ้าง 2 ราย ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจ้างต่อศาลแรงงานกลางและศาลแรงงานกลางได้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน รายละเอียดของคำฟ้องมีอยู่ว่าโจทก์ที่ 1 สมัครเข้าทำงานกับจำเลยเมื่อปี 2514 ในตำแหน่งเสมียนประจำหน่วยซ่อมบำรุงรถยนต์ และโจทก์ที่ 2 สมัครเข้าทำงานกับจำเลยเมื่อปี 2515 ในตำแหน่งเสมียนประจำหน่วยซ่อมบำรุงทั่วไป ต่อมาจำเลยตกลงจ้างบริษัทรับเหมาและได้โอนพนักงานซึ่งรวมทั้งโจทก์ทั้งสองด้วยไปอยู่ในความดูแลของบริษัทรับเหมา โจทก์ทั้งสองมีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมจากจำเลยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 20 จำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียสิทธิอันพึงที่จะได้รับ และได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลย จำเลยจะต้องจ่ายเงินให้แก่โจทก์แต่ละคนได้แก่สิทธิที่จะได้รับเงินจนครบอายุการทำงาน เงินประกันสังคม ค่าเสียหายเกี่ยวกับเงินเดือนที่พึงได้รับ ค่าเสียหายเกี่ยวกับค่าอาหารและค่าพาหนะตามอายุงาน ค่าเสียหายสำหรับเงินค่าล่วงเวลา ค่าเสียหายในเงนค่าอาหารและค่ารถสำหรับการทำงานล่วงเวลา ค่าเสียหายในเงินรางวัลปฏิบัติงานโดยไม่ขาดงาน ค่าเสียหายสำหรับเงินโบนัส ค่าเสียหายในเงินรางวัลอายุงานที่ปฏิบัติงานเกิน 11 ปีขึ้นไป ค่าเสียหายในเงินรางวัลความปลอดภัย ค่าเสียหายในเงินค่าชดเชยพิเศษ ค่าเสียหายในเงินรางวัลเกียรติคุณ ค่าเสียหายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินคดีของโจทก์ รวมค่าเสียหายทั้งหมด โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 31,308,826 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 35,258,962 บาท นอกจากนี้จำเลยยังต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ทุกระยะ 7 วัน โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 31,308,826 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 35,258,962 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และเงินเพิ่มร้อยละ 15 ทุกระยะ 7 วัน นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลย โจทก์ทั้งสองเคยฟ้องจำเลยในข้อหาเดียวกันกับคดีนี้ต่อศาลแรงงานกลางมาแล้วหลายครั้ง คดีถึงที่สุดไปแล้ว ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ สิทธิเรียกร้องของโจทก์ทั้งสองขาดอายุความแล้ว จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองเคยฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางมาแล้วเป็นคดีหมายเลขดำที่ 11282 – 11283/2536 หมายเลขแดงที่ 7404 – 7405/2537 ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยในคดีดังกล่าวว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นลูกจ้างจำเลย และพิพากษายกฟ้อง อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีและคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้กล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของจำเลย เรียกค่าเสียหายจากจำเลยอีก จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ทั้งโจทก์ทั้งสองมิได้ฟ้องภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความอีกด้วย แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองประการแรกมีว่า ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 7404 – 7405/2537 ของศาลแรงงานกลางหรือไม่ โดยโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า คดีก่อนศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองมิใช่ลูกจ้างของจำเลยเพราะนาย พ. พยานจำเลยเบิกความว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของนาย พ. ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของจำเลย ทำให้ศาลแรงงานกลางหลงเชื่อว่าโจทก์ทั้งสองมิใช่ลูกจ้างจำเลย ทั้งต่อมาภายหลังมีพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 5 ให้ความหมายของคำว่านายจ้างไว้ และโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของจำเลยตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีก่อนโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยโจทก์ทั้งสองไม่มีความผิด ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งสอง ประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อนจึงมีว่าโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ ซึ่งศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นลูกจ้างจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง ตามสำเนาคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางคดีหมายเลขแดงที่ 7404 – 7405/2537 โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้ไม่ชอบ ไม่รับวินิจฉัย แล้วพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง ตามสำเนาคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 2409 – 2410/2538 คดีก่อนจึงถึงที่สุดไปแล้ว คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงานและข้อตกลงตามสัญญา และกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสอง จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลย ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำ และสิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความแล้ว ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกันกับที่ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว ฟ้องของโจทก์ทั้งสองคดีนี้จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตร 31 ข้ออ้างตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองที่ว่า คดีก่อนศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงไม่ถูกต้องเพราะนาย พ. พยานจำเลยเบิกความอันเป็นเท็จทำให้ศาลหลงเชื่อก็ดี บทบัญญัติของกฎหมายที่บังคับใช้ภายหลังจากคดีถึงที่สุดแล้วให้ความหมายคำว่า “นายจ้าง” แตกต่างจากที่บัญญัติในกฎหมายเดิมก็ดี หาใช่ข้อยกเว้นที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 บัญญัติไว้ อันจะทำให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้อีก
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ด้วยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3) มีข้อยกเว้นให้ฟ้องใหม่ได้เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ยกฟ้องไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้อีกนั้น เห็นว่า ข้อที่ว่าไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้นจะต้องกล่าวไว้ในคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ยกฟ้องนั้นด้วย โจทก์จึงจะมีสิทธิฟ้องใหม่ได้ เมื่อคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางคดีหมายเลขแดงที่ 7404 – 7405/2537 ซึ่งเป็นคำพิพากษาในคดีก่อนมิได้ระบุว่า ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสองที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยในคดีใหม่นี้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานจึงพิพากษายืน(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859 – 860/2548)
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น