รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ล้มละลาย

คงจำกันได้ดีว่า...ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ทำให้นายจ้างหลายรายต้องเลิกกิจการไป บางรายถึงกับถูกฟ้องเนื่องจากมีหนี้สินล้นพ้นตัวจนกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ในช่วงเวลาดังกล่าวลูกจ้างของนายจ้างเหล่านั้นต่างประสบเคราะห์กรรมตามไปด้วยเนื่องจากนายจ้างไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ลูกจ้างหลายคนจึงต้องหาหนทางที่จะทำให้ตนเองได้รับเงินที่พึงมีพึงได้ตามกฎหมาย บางรายก็สมหวังแต่หลายรายก็ต้องผิดหวัง ดังเช่นคดีข้างล่างนี้

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ซึ่งถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและตั้งบริษัท ส. จำกัด เป็นผู้ทำแผนเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ และมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการและตั้งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้บริหารแผนเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๔ โดยโจทก์เข้าทำงานกับจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๖ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการหน่วยงานรับผิดชอบดูแลงานโครงการบำบัดน้ำเสียกรุงรัตนโกสินทร์ ได้รับค่าจ่างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๕๑,๘๖๘ บาท ต่อมาวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๓ จำเลยที่ ๑ ได้เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ได้กระทำความผิดและไม่จ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ ๑ ถึงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๓ จำนวน ๔๘,๔๑๐ บาท กับค่าชดเชยจำนวน ๔๑๔,๙๔๔ บาทให้โจทก์ วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๔ โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพนักงานตรวจแรงงานพื้นที่วัฒนา สังกัดจำเลยที่ ๓ ว่าจำเลยที่ ๑ ค้างจ่ายค่าจ้าง จำเลยที่ ๒ สอบสวนแล้วมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ โดยบริษัท ส. จำกัด ในฐานะผู้ทำแผนจ่ายค่าจ้างดังกล่าวให้แก่โจทก์ภายใน ๑๕ วัน โดยมิได้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างถึงวันจำเลยที่ ๑ วางเงินต่อศาลรวม ๑๕ เดือน เป็นเงิน ๙,๐๗๗.๑๐ บาท ให้โจทก์ และวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๙ โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ ๒ ว่าจำเลยที่ ๑ ค้างจ่ายค่าชดเชย จำเลยที่ ๒ สอบสวนแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๑) มีคำสั่งที่ ๘/๒๕๔๕ ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและดอกเบี้ยตามคำร้อง คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบเพราะจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์แต่พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง และจำเลยที่ ๑ ไม่ได้นำคดีไปฟ้องเอง จึงต้องถือเป็นยุติว่าโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดตามคำสั่งของจำเลยที่ ๒ ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยจำนวน ๔๑๔,๙๔๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จและชำระค่าดอกเบี้ยของเงินค่าจ้างค้างจ่ายอีก ๙,๐๗๗.๑๐ บาท แก่โจทก์

จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยเพราะโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่และกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลยที่ ๑ ด้วยการร่วมกับนาย ภ. บุคคลภายนอกลักทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่การเป็นผู้จัดการหน่วยงานของจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้นาย ภ. เอาทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ไปโดยทุจริต แม้พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่จำเลยที่ ๑ แจ้งความร้องทุกข์แต่จำเลยที่ ๑ ก็ได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๓๒๖๒/๒๕๔๕ ของศาลอาญา ซึ่งอยู่ในระหว่างการไต่สวนมูลฟ้อง จึงยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติว่าโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดดังกล่าว นอกจากนี้โจทก์ยังกระทำความผิดอาญาอื่นโดยเจตนาแก่จำเลยที่ ๑ และจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหายอีกหลายประการ กล่าวคือ โจทก์ต้องสงสัยว่าลักกล้องสำรวจ กล้องวัดแนวเส้นและกล้องวัดระยะ ๓ เครื่อง ราคา ๒๗,๕๐๐ บาท ไปจากสำนักงานของจำเลยที่ ๑ ในช่วงวันที่ ๙ ถึงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๓ โจทก์จัดเก็บเงินผลประโยชน์ต่างๆ เพื่อใช้ในการก่อสร้างโครงการบำบัดน้ำเสียและเมื่อโครงการเสร็จมีเงินคงเหลือ ๙๙,๙๒๘ บาท แต่โจทก์ไม่ส่งคืนให้แก่จำเลยที่ ๑ โจทก์จงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่ควบคุมดูแลรักษาทรัพย์สินในหน่วยงานก่อสร้างที่โจทก์มีหน้าที่ควบคุมดูแล เป็นเหตุให้มีคนร้ายลักกล้องสำรวจของจำเลยที่ ๑ ไป ๔ เครื่อง เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๓ มูลค่า ๑,๑๖๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสอบแบบแผนผังงานให้ถูกต้องเรียบร้อยก่อนลงมือทำงาน เป็นเหตุให้คนงานใช้รถขุดตักถูกสายโทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยขาดเสียหายคิดเป็นเงิน ๓,๘๐๔,๐๐๐ บาท ถูกสายเคเบิลใยแก้วนำแสงของบริษัทเทเลคอมเอเซีย จำกัด (มหาชน) ขาดเสียหายคิดเป็นเงิน ๑,๖๑๒,๖๒๔.๙๕ บาท และถูกสายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงของบริษัทคอมลิงก์ จำกัด ได้รับความเสียหายอีก ๑,๖๕๒,๑๕๙.๗๔ บาท ทำให้จำเลยที่ 1 ถูกเรียกร้องให้ชำระหนี้ดังกล่าวรวมเป็นเงิน 7,068,784.74 บาท และฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำเพราะในระหว่างศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ ๑ โจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อศาลแรงงานกลางเป็นคดีแพ่ง หมายเลขดำที่ ๖๕๐๙/๒๕๔๓ หมายเลขแดงที่ ๙๒๘๖/๒๕๔๓ เรียกให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยจำนวนเดียวกันนี้ซึ่งมูลหนี้เกิดขึ้นก่อนศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน ศาลแรงงานกลางจึงมีคำสั่งให้โจทก์ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีฟื้นฟูกิจการ แต่โจทก์ไม่ดำเนินการ กลับไปยื่นคำร้องต่อหนักงานตรวจแรงงานจนพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งที่โจทก์นำมาเป็นมูลฟ้องในคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ด้วยการนำใบเสนอราคาซื้อไม้ สังกะสีและเหล็กยื่นต่อจำเลยที่ ๑ โดยมิได้มีผู้เสนอขอซื้อ จำเลยที่ ๑ จึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย คำสั่งของจำเลยที่ ๒ ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการเดียวว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ลูกหนี้ จึงเป็นฟ้องที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๕๔๓ มาตรา ๙๐/๑๒(๔) หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวโจทก์อุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ ๘/๒๕๔๕ ของจำเลยที่ ๒ จึงไม่ใช่ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ลูกหนี้

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน เห็นว่า คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ ๘/๒๕๔๕ ของจำเลยที่ ๒ ที่สั่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามคำร้องนั้น มีผลเพียงทำให้จำเลยที่ ๑ ที่ยังไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์เท่านั้น มิได้บังคับโจทก์ให้กระทำหรือไม่กระทำการใด หากโจทก์ไม่ติดใจในค่าชดเชยนั้นต่อไปโจทก์ก็ไม่จำเป็นต้องนำคดีไปฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และหากโจทก์ประสงค์จะได้ค่าชดเชยโจทก์ก็สามารถฟ้องคดีขอให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ได้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีคำขอให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ อันเป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ลูกหนี้ แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานของจำเลยที่ ๒ ซึ่งสั่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเข้ามาด้วยก็เพื่อที่จะให้โจทก์ได้รับค่าชดเชยจาจำเลยที่ ๑ เท่านั้น ไม่ทำให้คดีนี้ไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ลูกหนี้แต่อย่างใด ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๕ มาตรา ๙๐/๑๒(๔) ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๔๑/๒๕๔๘)

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น