รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เลิกจ้างกรรมการลูกจ้าง

มีเรื่องการเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างมาให้ศึกษากันคุณรู้จัก “กรรมการลูกจ้าง” หรือไม่ ?

กฎหมายไม่ได้ให้คำนิยาม “กรรมการลูกจ้าง” ไว้ แต่บัญญัติเรื่องวิธีการตั้งกรรมการลูกจ้าง และบทคุ้มครองกรรมการลูกจ้างที่สำคัญไว้ว่า การเลิกจ้างกรรมการลูกจ้าง ต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานเสียก่อน ดังนั้น หากแม้ลูกจ้างที่เป็นกรรมการลูกจ้างกระทำผิดอย่างไรก็ตาม นายจ้างต้องนำไปร้องขออนุญาตจากศาลแรงงานเพื่อเลิกจ้างลูกจ้างทุกครั้งไป ดังเช่นคดีข้างล่างนี้

เรื่องมีอยู่ว่า นายจ้างได้ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางว่า นาย ส.(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนาย ภ.) เป็นกรรมการลูกจ้างและเป็นลูกจ้างของผู้ร้องตั้งแต่ปี 2529 จนถึงปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2543 ถึง 2545 นาย ส. เป็นผู้จัดการงานประเมินหลักทรัพย์ ฝ่ายประเมินหลักทรัพย์และนิติกรรมของผู้ร้อง มีหน้าที่ประเมินทรัพย์สินของลูกค้าที่ขอเป็นหลักประกันต่อผู้ร้องและทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้รับจำนองไว้ นาย ส. จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นการกระทำละเมิด ฝ่าฝืนระเบียบของผู้ร้อง เป็นความผิดตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง ทำให้ผู้ร้องมีสิทธิเลิกจ้างนาย ส. ได้ จึงขอให้ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างนาย ส. ลูกจ้างและกรรมการลูกจ้างและให้พ้นจากตำแหน่ง

นาย ส. ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่มีเหตุขอให้เลิกจ้างผู้คัดค้านได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างนาย ส. ผู้คัดค้าน

ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า

1. ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ นาย ส. หรือ นาย ภ. ผู้คัดค้านเป็นกรรมการลูกจ้างของสหภาพแรงงาน อ. ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2545 จนถึงวันยื่นคำร้อง และเป็นลูกจ้างของผู้ร้องตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2529 จนถึงปัจจุบัน ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการงานประเมินหลักทรัพย์ ฝ่ายประเมินหลักทรัพย์และนิติกรรมของผู้ร้อง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 25,550 บาท มีหน้าที่ประเมินทรัพย์สินของลูกค้าที่ขอเป็นหลักประกันต่อผู้ร้อง

2. เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2542 ผู้คัดค้านและนาย ช. ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้คัดค้านได้ร่วมกันประเมินที่ดินที่บริษัท ด. จำกัดนำมาเสนอขอเป็นหลักประกันหนี้สินเชื่อโดยมีนาย ก. ตัวแทนของบริษัท ด. จำกัดเป็นผู้นำชี้ที่ดินแปลงอื่นที่มีทำเลที่ตั้งมีราคามากกว่าแปลงหลักประกัน ผู้คัดค้านได้ประเมินหลักทรัพย์ว่ามีทำเลที่ดีอยู่ติดถนน ระบุราคาประเมินราชการตารางวาละ 6,000 บาทเป็นเงิน 4,566,000 บาท ราคาตลาด 11,415,000 บาท เสนอต่อผู้ร้องผู้ร้องจึงอนุมัติสินเชื่อให้แก่บริษัท ด.จำกัดไป ต่อมาผู้ร้องได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงแก่บริษัท ด. จำกัดและตั้งกรรมการสอบสวนผู้คัดค้าน ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รายงานในช่องวิธีการตรวจสอบว่า ได้ตรวจสอบจากระวางด้วย ตามรายงานการสำรวจและประเมินหลักทรัพย์รายบริษัท ด. จำกัด โดยผู้คัดค้านมิได้ตรวจสอบระวางที่ดินที่สำนักงานที่ดิน ต่อมาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2544 ผู้คัดค้านได้ประเมินหลักทรัพย์ที่เป็นหลักประกันใหม่ ปรากฏว่าไม่มีราคาตลาด

3. เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2543 ผู้คัดค้านและนาย ล. ผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้คัดค้านได้ร่วมกันประเมินที่ดินที่บริษัท พ. จำกัดนำมาเสนอขอเป็นหลักประกันหนี้สินเชื่อโดยมีนาย ก. ตัวแทนของบริษัท พ. จำกัดเป็นผู้นำชี้ที่ดินแปลงอื่นที่มีทำเลที่ตั้งมีราคามากกว่าแปลงหลักประกันและนำระวางที่ดินปลอมซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ดินที่พาไปชี้ซึ่งได้มีการแก้ไขจากฉบับที่แท้จริงเพื่อให้มีรูปโฉนดคล้ายกับรูปโฉนดแปลงที่เป็นหลักประกันแล้วผู้คัดค้านได้ประเมินหลักทรัพย์ว่ามีทำเลที่ดีอยู่ติดถนน ระบุราคาประเมินราชการ 8,500,000 บาท ราคาตลาด 49,500,000 บาท เสนอต่อผู้ร้องผู้ร้องจึงอนุมัติสินเชื่อให้แก่บริษัท พ.จำกัดไป ต่อมาผู้ร้องได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงแก่บริษัท พ. จำกัดและพวก และตั้งกรรมการสอบสวนผู้คัดค้าน ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รายงานในช่องรายงานประเมินว่าได้ไปตรวจระวางที่ดินแล้ว โดยผู้คัดค้านมิได้ตรวจสอบระวางที่ดินที่สำนักงานที่ดิน ต่อมาเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2544 ผู้ร้องได้มอบให้พนักงานของผู้ร้องประเมินราคาหลักทรัพย์ที่เป็นหลักประกันใหม่ ปรากฏว่าหลักทรัพย์ที่เป็นหลักประกันไม่มีราคาตลาด

4. คณะกรรมการสอบสวนแล้วจึงทำรายงานส่งต่อผู้ร้อง ผู้ร้องจึงมีคำสั่งลงโทษผู้คัดค้านให้เลิกจ้างผู้คัดค้านโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ใด ๆ จากผู้ร้อง เนื่องจากผู้คัดค้านทำละเมิดต่อผู้ร้องโดยฝ่าฝืนระเบียบวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง แต่ผู้คัดค้านเป็นกรรมการลูกจ้าง ผู้ร้องจึงร้องขอต่อศาลแรงงานกลาง

5. ศาลแรงงานกลางได้พิจารณาวินิจฉัยว่า สำหรับการตรวจสอบประเมินที่ดินรายบริษัท ด. นั้น ถ้าผู้คัดค้านได้ทำการตรวจสอบด้วยความระมัดระวังตามหน้าที่อย่างผู้มีวิชาชีพแล้ว ย่อมจะพบข้อพิรุธและใช้ดุลพินิจได้ว่าที่ตั้งของที่ดินไม่ชัดเจนเนื่องจากไม่ตรงกับโฉนดที่ดินที่เป็นหลักประกัน จะต้องตรวจสอบกับสำนักงานที่ดินตามระเบียบของผู้ร้อง แต่ผู้คัดค้านมิได้ทำการตรวจสอบกลับรายงานระบุว่ามีการตรวจสอบระวางที่สำนักงานที่ดิน การกระทำดังกล่าว เป็นรายงานเท็จเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีการตรวจสอบถูกต้องตามระเบียบของผู้ร้องแล้ว การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากการที่ผู้ร้องได้ปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัท ด. จำกัด และบริษัท ด. จำกัดเป็นหนี้ค้างชำระ 11,330,731 บาท ส่วนการตรวจสอบประเมินที่ดินรายบริษัท พ. จำกัด นั้น ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านทำรายงานว่าได้มีการตรวจสอบระวางที่สำนักงานที่ดินแล้ว โดยผู้คัดค้านมิได้ทำการตรวจสอบตามที่รายงาน จึงเป็นรายงานเท็จ แต่รายงานดังกล่าวนั้น นาย ล. เป็นผู้ทำ ผู้คัดค้านได้ลงชื่อในรายงานดังกล่าวโดยไม่ได้ตรวจสอบถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ผู้บังคับบัญชาเชื่อว่าได้มีการตรวจสอบที่ดินหลักประกันอย่างถูกต้องตามระเบียบแล้ว และเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้ปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัท พ. จำกัด ไปตามราคาตลาดที่ผู้คัดค้านประเมินซึ่งความจริงแล้วไม่มีราคาตลาด การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง และบริษัท พ. จำกัด เป็นหนี้ค้างชำระ 30,147,190 .91 บาท ถือว่าผู้คัดค้านประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจำนวน 2 ครั้ง จึงอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้

6. คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านว่า การที่ผู้คัดค้านตรวจสอบและประเมินหลักทรัพย์ที่ดินผิดแปลงนั้น เป็นการประมาทเลินเล่อทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือไม่ และกรณีมีเหตุสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ผู้คัดค้านไม่ได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอตามหน้าที่อย่างผู้มีวิชาชีพ เป็นเหตุให้ตรวจสอบและประเมินหลักทรัพย์ผิดแปลงนั้นถือว่า เป็นการประมาทเลินเล่อ แม้ผู้ร้องจะได้รับประโยชน์เป็นดอกเบี้ยจากบริษัททั้งสองจำนวนหนึ่ง และผู้ร้องสามารถบังคับจำนองหลักทรัพย์ที่ดินที่จำนองไว้ ก็ไม่คุ้มกับหนี้เงินกู้ เพราะที่ดินที่จำนองไว้มีมูลค่าต่ำกว่าหนี้เงินกู้จำนวนมาก แม้ว่าผู้ร้องจะสามารถฟ้องผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้เงินกู้แทนบริษัททั้งสองได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าผู้ค้ำประกันจะชำระหนี้หรือไม่ และสามารถจะบังคับให้ชำระหนี้ได้หรือไม่เพียงใด การประมาทเลินเล่อของผู้คัดค้านดังกล่าวทำให้บริษัททั้งสองเป็นหนี้ค้างชำระมากถึง 40,000,000 บาทเศษ ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะบังคับชำระหนี้ได้หรือไม่มากน้อยเพียงใดนั้น ถือว่าผู้ร้องได้รับความเสียหายอย่างมาก การกระทำของผู้คัดค้านดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(3) จึงมีเหตุสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้ อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 908/2548)

ข้อสังเกตในเรื่องนี้ ใคร่ขอให้ท่านพิจารณาดูว่า กรณีนี้กว่านายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างได้ต้องใช้เวลานานเท่าใด ? เป็นช่องว่างของกฎหมายหรือไม่ ? ควรมีหนทางแก้ไขได้อย่างไรหรือไม่ ?

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น