หลักการที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คือ การกำหนดให้นายจ้างที่จะฟ้องร้องคดีต่อศาลแรงงานเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานที่สั่งให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งเป็นหลักการใหม่ที่ไม่เคยกำหนดมาก่อน ทั้งนี้ เพื่อเป็นหลักประกันในการปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน อันจะทำให้ลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนจากการที่นายจ้างมีข้อโต้แย้งข้อวินิจฉัยของพนักงานตรวจแรงงานได้รับการเยียวยารวดเร็วขึ้น หากศาลได้พิพากษาให้ลูกจ้างชนะคดี โดยลูกจ้างไม่ต้องไปร้องขอเพื่อบังคับคดีแก่นายจ้างอีก
อย่างไรก็ดี หากเป็นกรณีที่พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายหรือใช้คืนเงินหลายจำนวนให้แก่ลูกจ้าง ก็สามารถแยกแยะจำนวนเงินดังกล่าวออกไปได้ โดยหากนายจ้างโต้แย้งหรือไม่เห็นด้วยในเงินจำนวนใด ก็สามารถโต้แย้งและนำเงินไปวางศาลเพียงเท่ากับจำนวนเงินที่ตนเองโต้แย้งไว้ สำหรับในส่วนที่ไม่ได้โต้แย้ง นายจ้างยังมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างไปตามที่พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่ง หากนายจ้างยังไม่จ่ายให้ ก็ต้องถือว่านายจ้างยังโต้แย้งอยู่และนายจ้างจะต้องนำเงินดังกล่าวนั้นไปวางศาลเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นอาจจะไม่สามารถฟ้องร้องต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานได้
สำหรับคดีศึกษาในสัปดาห์นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางเงินในกรณีที่นายจ้างเป็นผู้ฟ้องร้องต่อศาลแรงงานกลางเพื่อขอให้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานที่สั่งให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างจำนวนหนึ่ง แต่นายจ้างมีความเห็นว่า นายจ้างไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้าง หรือหากจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่มากเท่ากับที่พนักงานตรวจแรงงานสั่งให้นายจ้างจ่าย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคือ นายจ้างจะต้องวางเงินต่อศาลแรงงานกลางเป็นจำนวนเงินเท่าไร ยึดถือจำนวนไหนเป็นเกณฑ์ ระหว่างจำนวนเงินที่พนักงานตรวจแรงงานสั่งให้นายจ้างจ่าย กับ จำนวนเงินที่นายจ้างเห็นว่าตนเองจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ผลจะเป็นอย่างไรลองติดตามคดีข้างล่างนี้
รายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นมีอยู่ว่า สืบเนื่องจากโจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลแรงงานกลางขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานตรวจแรงงาน ที่สั่งให้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างจ่ายค่าจ้างและค่าคอมมิชชั่นให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 90,512.17 บาท โดยโจทก์อ้างว่า หากโจทก์ต้องรับผิดจะต้องจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ก็เป็นเงินไม่เกิน 6,560 บาท และโจทก์ขอวางเงินต่อศาลเพียง 6,560 บาท
ศาลแรงงานกลางจึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายเงินค่าจ้างและค่าคอมมิชชั่นให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์เป็นเงินรวม 90,512.17 บาท โจทก์อ้างว่าโจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 เป็นเงินไม่เกิน 6,560 บาท และโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้โดยขอวางเงินต่อศาลจำนวน 6,560 บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ในการยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 2 คดีนี้โจทก์จะต้องวางเงินต่อศาลเพียงใด
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ เมื่อพนักงานตรวจแรงงานได้มีคำสั่งตามมาตรา 124 แล้ว ถ้านายจ้าง ลูกจ้าง หรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายไม่พอใจคำสั่งนั้น ให้นำคดีไปสู่ศาลได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง” และวรรคสาม บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายนำคดีไปสู่ศาล นายจ้างต้องวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งนั้น จึงจะฟ้องคดีได้” ตามบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดไว้อย่างชัดแจ้งว่า ในกรณีที่นายจ้างไม่พอใจคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานที่สั่งให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้าง และนายจ้างประสงค์จะนำคดีไปสู่ศาลแรงงานเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งนั้น นายจ้างจะต้องวางเงินตามจำนวนที่นายจ้างประสงค์จะโต้แย้งต่อศาลซึ่งอาจเป็นจำนวนทั้งหมดตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานหรือเพียงบางส่วนก็ได้ และในกรณีที่เป็นการโต้แย้งคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานเพียงบางส่วน นายจ้างจะต้องชำระเงินส่วนที่ไม่ติดใจโต้แย้งแก่ลูกจ้างเสียก่อน นายจ้างจึงจะมีอำนาจฟ้อง คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์เป็นเงินรวม 90,512.17 บาท โจทก์เพียงแต่อ้างว่าโจทก์ควรจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 เพียง 6,560 บาท เท่านั้น แต่ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 แต่อย่างใด ฉะนั้น หากโจทก์ต้องการนำคดีไปสู่ศาลแรงงานเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว โจทก์จะต้องนำเงินจำนวน 90,512.17 บาท ไปวางต่อศาลแรงงานกลางก่อน โจทก์จึงจะมีอำนาจฟ้อง มิใช่วางเงินเพียง 6,500 บาท ตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษาให้ยกฟ้องของโจทก์(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2548)
คุณมีความเห็นอย่างไรบ้าง……..ลองคิดกันดูก็ได้นะครับ
ข้อสังเกตในคดีนี้ คือศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานได้วินิจฉัยในตอนหนึ่งว่า โจทก์อ้างว่าโจทก์ควรจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 เพียง 6,500 บาท แต่ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 แต่อย่างใด ดูเผิน ๆ อาจเข้าใจผิดได้ว่า ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า หากโจทก์(นายจ้าง)จ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 3ถึง ที่ 11 แล้ว ก็จบกันไป ความจริงไม่ใช่เช่นนั้นนะครับ เพราะพนักงานตรวจแรงงานได้มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินจำนวน 90,512.17 บาท ฉะนั้นโจทก์ในฐานะนายจ้างจะฟ้องคดีได้ต่อเมื่อได้วางเงินให้ถูกต้องตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานต่อศาลแรงงานกลางคือจำนวน 90,512.17 บาทก่อน
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น