ตำแหน่งบางตำแหน่งในสถานประกอบกิจการอาจมีปัญหาให้ขบคิดกันว่า มีสถานภาพเป็นลูกจ้างหรือพนักงานหรือไม่ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อบุคคลนั้นในเรื่องสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างหรือพนักงานของตนเท่านั้น เนื่องจากนายจ้างอาจจ่ายค่าตอบแทนให้ในอัตราที่สูงกว่าปกติหรืออาจให้สิทธิประโยชน์อย่างอื่นที่แตกต่างกันออกไป หากไม่มีความชัดเจนก็อาจทำให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่พึงมีพึงได้ลดน้อยลง ดังเช่นคดีข้างล่างนี้
เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ยื่นฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจ จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2496 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการมีอำนาจกระทำการแทน โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ได้รับการบรรจุเข้าทำงานเป็นพนักงานประจำเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2503 ออกจากงานเนื่องจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2542 นับอายุงานได้ 39 ปีเศษ ก่อนออกจากงานโจทก์ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาจำเลยที่ 1 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 57,450 บาท โจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน คิดเป็นเงิน 2,240,550 บาท และมีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนความชอบในการทำงานเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน คิดเป็นเงิน 344,700 บาท รวมเป็นเงิน 2,585,250 บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย จึงต้องนำคดีมาฟ้อง โดยขอคิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 เป็นต้นไป เฉพาะดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 419,025,.83 บาท ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 3,004,275.83 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในเงินต้น 2,585,250 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่า พนักงานผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเมื่อออกจากงานจะต้องมีตำแหน่งตามที่กำหนดไว้ในอัตรากำลังพนักงานของแต่ละหน่วยงาน ที่ปรึกษาไม่ใช่ตำแหน่งที่กำหนดไว้ในอัตรากำลังพนักงาน และโจทก์ไม่ได้ขอรับเงินบำเหน็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่พ้นจากการเป็นพนักงานตามข้อบังคับ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ ส่วนเงินค่าตอบแทนความชอบในการทำงานจะจ่ายให้เฉพาะพนักงานที่เกษียณอายุ โจทก์ออกจากงานเพราะถูกถอดถอนออกจากการเป็นผู้อำนวยการของจำเลยที่ 1 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2542 ไม่ใช่การออกจากงานเพราะเกษียณอายุ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนความชอบในการทำงานเช่นเดียวกัน และจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว เมื่อเดือนกันยายน 2540 และเดือนพฤษภาคม 2541 ขณะโจทก์ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการและจำเลยที่ 1 ประสบภาวะขาดทุน ไม่มีรายได้เพียงพอและไม่มีงบประมาณเพื่อการลงทุน โจทก์ได้แจ้งขอซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อ 140 คัน และรถแทรกเตอร์ 105 คัน หลังครบกำหนดการเช่าจากบริษัท จ. จำกัด และบริษัท ส. จำกัด ผู้ให้เช่ารถดังกล่าวตามสิทธิในสัญญาเช่ารวมเป็นเงิน 85,249,000 บาท โดยไม่ได้เสนอคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และไม่ได้ขออนุมัติจากคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 โดยมุ่งหวังให้บริษัทดังกล่าวได้รับประโยชน์ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต้องชำระหนี้ดังกล่าว อันเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย 85,249,000 บาท ขอให้ศาลแรงงานกลางยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย 85,249,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่จำเลยที่ 1
ก่อนโจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง จำเลยที่ 1 ขอถอนฟ้องแย้งทั้งหมด ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาต
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว รับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจ จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2496 ดำเนินกิจการโดยคณะกรรมการ จำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการและเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีข้อบังคับว่าด้วยการสงเคราะห์พนักงาน ซึ่งข้อ 10 กำหนดว่า พนักงานที่ทำงานมาแล้วนับอายุงานได้ 10 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เมื่อออกจากงานมีสิทธิได้รับบำเหน็จเท่ากับค่าจ้างเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน และข้อ 28 กำหนดว่า การขอรับบำเหน็จให้ยื่นคำขอภายใน 1 ปี นับแต่วันได้รับคำสั่งให้ออกจากงาน กับจำเลยที่ 1 มีระเบียบว่าด้วยค่ารักษาพยาบาล ค่าทำศพ อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ค่าชดเชยและค่าตอบแทนความชอบในการทำงาน ซึ่งข้อ 15 กำหนดให้พนักงานที่ปฏิบัติงานติดต่อกันครบ 5 ปี และพ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุได้รับเงินค่าตอบแทนความชอบในการทำงานเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2503 แล้วได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2538 และได้เลื่อนอัตราเงินเดือนเป็น 57,450 บาท เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2540 ต่อมาโจทก์ถูกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ถอดถอนออกจากการเป็นผู้อำนวยการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์จำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2542 โดยก่อนที่จะมีคำสั่งดังกล่าว คณะกรรมการจำเลยที่ 1 ได้ประชุมและมีมติให้กำหนดตำแหน่งที่ปรึกษาองค์การจำเลยที่ 1 เป็นการเฉพาะตัวขึ้น 1 อัตรา เทียบเท่าผู้อำนวยการ สำหรับแต่งตั้งโจทก์ดำรงตำแหน่งโดยให้ได้รับเงินเดือนและสิทธิประโยชน์เท่าเดิม และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กำหนดตำแหน่งและอัตราเงินเดือนที่ปรึกษาองค์การจำเลยที่ 1 จำนวน 1 อัตรา โจทก์ได้รายงานตัวเข้ารับหน้าที่ในตำแหน่งที่ปรึกษาจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2542 เรื่อยมา ครั้นวันที่ 15 มีนาคม 2542 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานเนื่องจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 วันที่ 20 กันยายน 2542 โจทก์ยื่นคำร้องขอรับบำเหน็จและเงินค่าตอบแทนความชอบในการทำงาน แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมจ่าย แล้ววินิจฉัยว่า ตำแหน่งที่ปรึกษาที่โจทก์ดำรงอยู่ก่อนที่จะออกจากงานเป็นตำแหน่งที่กำหนดไว้ในอัตรากำลังพนักงานของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงเป็นพนักงานตามข้อบังคับข้อ 4 และพ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1เพราะเกษียณอายุเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2542 ไม่ใช่พ้นจากการเป็นพนักงานเพราะถูกถอดถอนออกจากการเป็นผู้อำนวยการเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2542 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับบำเหน็จและเงินค่าตอบแทนความชอบในการทำงาน การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอรับบำเหน็จเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2542 เป็นการขอรับบำเหน็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งให้ออกจากงานแล้ว จำเลยที่ 1 จึงต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินบำเหน็จและเงินค่าตอบแทนความชอบในการทำงานรวม 2,585,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 419,025.83 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ตำแหน่งที่ปรึกษาองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ ที่โจทก์ดำรงอยู่ก่อนที่จะออกจากงานเป็นตำแหน่งที่กำหนดไว้ในอัตรากำลังพนักงานของจำเลยที่ 1 หรือไม่ ?
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่าพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2496 ให้จัดตั้งองค์การจำเลยที่ 1 ขึ้นดำเนินการในการขนส่งโดยมิได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับอัตรากำลังพนักงานไว้ เพียงแต่ให้มีผู้อำนวยการเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก และให้มีคณะกรรมการเป็นผู้บริหารกิจการของจำเลยที่ 1 โดยกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการไว้ในมาตรา 19 ว่า คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่วางนโยบาย และควบคุมโดยทั่วไปซึ่งกิจการของจำเลยที่ 1 และมีอำนาจที่จะ (1) กระทำกิจการและวางข้อบังคับ และระเบียบการตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในมาตรา 6 และมาตรา 7 การกำหนดอัตรากำลังพนักงานเป็นส่วนหนึ่งของการวางนโยบายและควบคุมบริหารกิจการของจำเลยที่ 1 ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ คณะกรรมการจึงสามารถกำหนดอัตรากำลังพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้ตามความเหมาะสม ทั้งจำเลยที่ 1 เป็นรัฐวิสาหกิจ ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของมติคณะรัฐมนตรี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนที่จะมีคำสั่งให้ถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้อำนวยการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาองค์การจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2542 นั้น คณะกรรมการได้มีมติให้กำหนดตำแหน่งและอัตราเงินเดือนที่ปรึกษาองค์การจำเลยที่ 1 เป็นการเฉพาะตัวขึ้น 1 อัตรา สำหรับแต่งตั้งโจทก์ดำรงตำแหน่ง เพื่อประโยชน์ในการบริหารของจำเลยที่ 1 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ มติคณะกรรมการและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ตำแหน่งที่ปรึกษาองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ที่โจทก์ดำรงต่อจากตำแหน่งผู้อำนวยการ จึงเป็นตำแหน่งที่กำหนดไว้ในอัตรากำลังพนักงานของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงเป็นพนักงานตามข้อบังคับว่าด้วยการสงเคราะห์พนักงาน ข้อ 4 และพ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 เพราะเกษียณอายุเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2542 ไม่ใช่พ้นจากการเป็นพนักงานเพราะถูกถอดถอนออกจากการเป็นผู้อำนวยการตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2542 จึงมีสิทธิได้รับบำเหน็จและเงินค่าตอบแทนความชอบในการทำงาน และการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอรับบำเหน็จเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2542 เป็นการขอรับบำเหน็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งให้ออกจากงานแล้ว จำเลยที่ 1 จึงต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาชอบแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6053/2546)เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น