ปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้างมักมีอยู่เสมอ จึงเกิดคดีขึ้นสู่ศาลแรงงานมากขึ้นเรื่อย ๆ และหลายคดีต้องอุทธรณ์ไปถึงศาลฎีกา แม้จะเป็นเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น ก็ไม่ได้ทำให้จำนวนคดีน้อยลงไป แต่กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บางเรื่องก็ใช้เวลานานมาก จนทำให้บางคนอาจจะเกิดความรู้สึกว่า การเยียวยาแก้ไขปัญหาแรงงานที่เกิดขึ้นจะทันต่อเหตุการณ์หรือไม่ และจะมีวิธีการแก้ไขประการอื่นหรือไม่ ก็ขอฝากทุกท่านช่วยคิดด้วย......หากมีความคิดดี ๆ ลองส่งมาอ่านกันบ้างนะครับ สัปดาห์นี้มาดูคดีที่น่าสนใจกันต่อไปดีกว่า
คดีเรื่องหนึ่ง โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ร. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2544 จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโดยโจทก์มิได้กระทำความผิดและอยู่ในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลบังคับโจทก์ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 ว่า เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ต่อมาวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2545 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งที่ 6-7/2545 ยกคำร้องของโจทก์ ซึ่งคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบ ไม่พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นและคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก็ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลแรงงานเพิกถอนคำสั่งที่ 6-7/2545 ของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 870,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เป็นจำเลย คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 6-7/2545 ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะจำเลยที่ 1 ได้พิจารณาจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้วได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทและพิจารณาไปโดยชอบและเป็นธรรม โดยจากข้อเท็จจริงที่ได้ฟังว่า จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์มิได้มีเหตุจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน เหตุที่เลิกจ้างเนื่องจากจำเลยที่ 2 ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้ การปรับปรุงรวมถึงส่วนบัญชีเจ้าหนี้ที่โจทก์ทำงานอยู่ โดยโอนย้ายโจทก์ไปทำงานในส่วนงานอื่น แต่โจทก์ไม่ยอมโอนย้าย และข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์และจำเลยที่ 2 รับกันแล้วว่า จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 20 ธันวาคม 2543 มีผลใช้บังคับอยู่ โจทก์มิได้กระทำความผิดตามอนุมาตรา (1) ถึง(5) ตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 แต่จากข้อเท็จจริงที่ได้คือ จำเลยที่ 2 มีผลประกอบการในปี 2541 ถึง 2544 ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง จำเลยที่ 2 จึงต้องพิจารณาแผนการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ปรับลดอัตรากำลังคนโดยใช้มาตรฐานเดียวกันทุกหน่วย ความซ้ำซ้อนของหน่วยงาน โดยใช้ต่อพนักงานคนอื่น ๆ เหมือนกัน ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงมีเหตุผลอันสมควรที่จะเลิกจ้างโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 เมื่อได้ข้อเท็จจริงดังกล่าว
จำเลยที่ 1 จึงได้มีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ ซึ่งคำสั่งของจำเลยที่ 1 ถูกต้องและเป็นธรรม ขอให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประกอบธุรกิจจำหน่ายรถยนต์และอะไหล่รถยนต์ โดยนับตั้งแต่รัฐบาลลดค่าเงินบาท ให้ค่าเงินบาทลอยตัวในปี 2540 จำเลยที่ 2 ต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ มีการขาดทุนสะสมต่อเนื่องมาโดยตลอด จนถึงปี 2544 จำเลยที่ 2 จึงต้องดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินการต่อไปได้ และได้มีการปรับลดโยกย้ายพนักงานที่เกินความต้องการของบางหน่วยงานลงโดยใช้หลักเกณฑ์และมาตรฐานเดียวกันกับพนักงานทุกคน แต่โจทกืไม่ยินยอม จำเลยที่ 2 จึงต้องเลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายค่าชดเชย และเงินต่าง ๆ ตามกฎหมายให้โจทก์ไปครบถ้วนแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่การกระทำอันไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ววินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจจำหน่ายรถยนต์และอะไหล่รถยนต์นิสสัน โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 25196 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นพนักงานบัญชี ฝ่ายบัญชีและการเงิน ได้รับค่าจ้างเดือนละ 26,570 บาท โจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงาน ร. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2544 จำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลในวันดังกล่าว ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้จ่ายค่าชดเชยและเงินต่าง ๆ ตามกฎหมายให้แก่โจทก์แล้ว ตามหนังสือเลิกจ้าง สำเนาใบสำคัญจ่าย ขณะที่จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์อยู่ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2544 โจทก์ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 2 เลิกจ้างเพราะเหตุเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน และเป็นการเลิกจ้างในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ อันเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ขอให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 สอบสวนข้อเท็จจริงแล้วมีความเห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม จึงมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ตามสำนวนการสอบสวน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิได้รับค่าเสียหายหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 มีความประสงค์ที่จะคุ้มครองลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องมิให้ถูกนายจ้างกลั่นแกล้งเลิกจ้างในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ ซี่งแม้จะมีข้อยกเว้นให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างที่เกี่ยวกับข้อเรียกร้องได้ 5 ประการ ตามมาตรา 123(1) -(5) ก็ตาม แต่มิได้หมายความว่า เมื่อมีเหตุจำเป็นนอกเหนือจากข้อยกเว้นดังกล่าวแล้ว นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างไม่ได้ ดังนั้น ถ้านายจ้างมีเหตุอื่นที่จำเป็น นายจ้างก็สามารถยกขึ้นเป็นเหตุเลิกจ้างได้ คดีนี้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า ตั้งแต่รัฐบาลประกาศลดค่าเงินบาทเมื่อปี 2540 ทำให้จำเลยที่ 2 ประสบภาวการณ์ขาดทุนจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายด้วยการลดขนาดขององค์กรให้เล็กลง โดยได้ยุบรวมหน่วยงานที่โจทก์ทำงานอยู่ และลดพนักงานในหน่วยงานของโจทก์ลงเพื่อให้เหมาะสมกับขนาดขององค์กร จำเลยที่ 2 ได้ย้ายโจทก์ไปทำงานที่หน่วยงานลูกค้าสัมพันธ์ แต่โจทก์ไม่ยอมไปทำงานที่หน่วยงานใหม่ จำเลยที่ 2 จึงเลิกจ้างโจทก์ ซึ่งเห็นได้ว่า เป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุผลและความจำเป็นโดยมิได้กลั่นแกล้งโจทก์ และมิใช่เป็นการเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง การเลิกจ้างดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหาย ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 362/2548)
เรื่องนี้มีคำอยู่ 2 คำที่อาจทำให้สับสนกันบ้าง คือ คำว่า “การกระทำอันไม่เป็นธรรม” กับคำว่า “การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม” ท่านผู้อ่านที่ได้ติดตามคอลัมน์นี้มานานแล้ว อาจจะเข้าใจดีแล้ว แต่ท่านที่เพิ่งมาติดตามอ่านในภายหลังอาจจะยังไม่ชัดเจนนัก “การกระทำอันไม่เป็นธรรม” เป็นกรณีตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งให้ความคุ้มครองลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องหรือเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน มิให้ถูกนายจ้างกลั่นแกล้ง และลูกจ้างจะต้องร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ที่กระทรวงแรงงาน ส่วน “การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม” เป็นกรณีตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ซี่งให้ความคุ้มครองลูกจ้างทั่ว ๆ ไปทั้งหมดมิให้ถูกกลั่นแกล้งเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และลูกจ้างต้องยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานจึงจะได้รับการวินิจฉัยเนื่องจากเป็นอำนาจของศาลแรงงานโดยเฉพาะ หวังว่าคงพอจะเห็นข้อแตกต่างนะครับ
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น