รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เลิกจ้างด้วยวาจา ต้องแจ้งเหตุผลในการเลิกจ้างหรือไม่ ?

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสองและวรรคสาม บัญญัติว่า

“ในกรณีที่สัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา นายจ้างหรือลูกจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเกินสามเดือน

ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้าง ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้”

คุณเข้าใจบทบัญญัติดังกล่าวแค่ไหน ? ........การบอกเลิกสัญญาจ้างด้วยวาจากระทำไม่ได้หรือ...

เปล่าหรอกครับ....บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ห้ามมิให้เลิกจ้างด้วยวาจา การเลิกจ้างด้วยวาจายังสามารถกระทำได้อยู่ ไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด เพียงแต่การบอกกล่าวล่วงหน้าต้องทำเป็นหนังสือเท่านั้น ดังเช่นคดีข้างล่างนี้

เรื่องมีอยู่ว่า ลูกจ้างได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า จำเลยได้จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างในตำแหน่งผู้ช่วยช่าง อัตราค่าจ้างสุดท้ายวันละ 247 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 1 ของเดือน เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด และไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ทำงานกับจำเลยมากว่า 8 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 27 – 28 กรกฎาคม 2544 โจทก์ได้อาศัยตำแหน่งผู้ช่วยช่างและสถานที่ทำงานของจำเลยติดต่อลูกค้าที่เข้ามาว่าจ้างจำเลยซ่อมรถแทรกเตอร์ ด้วยการเสนอเงื่อนไขการซ่อมในราคาถูกกว่าแล้วเอาไปเสียซึ่งทรัพย์สินของจำเลยเพื่อประโยชน์ในการรับจ้างซ่อมรถแทรกเตอร์ให้ลูกค้าดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลย จึงถือว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อจำเลยและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรง ก่อนเลิกจ้างโจทก์ไม่มาทำงานหลายวันโดยไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการลาและไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยได้เตือนโจทก์เป็นหนังสือถึง 8 ครั้งในรอบปี แต่โจทก์ก็ยังทำความผิดซ้ำอีก นอกจากนี้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2537 ถึงวันเลิกจ้าง จำเลยยังถูกเตือนเป็นหนังสือรวม 245 ครั้ง เนื่องจากฝ่าฝืนระเบียบการลา ขาดงาน ละทิ้งหน้าที่ ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และลักทรัพย์ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ และไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษา ให้จำเลยชำระค่าชดเชย 59,280 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยกเสีย

ทั้งโจทก์และจำเลยไม่เห็นด้วย จึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจรับซ่อมรถแทรกเตอร์ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2536 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานตำแหน่งผู้ช่วยช่าง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 247 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 1 ของเดือนถัดไป โจทก์ขาดงานบ่อยครั้ง จำเลยได้ออกหนังสือเตือนโจทก์เกี่ยวกับการขาดงานและการกระทำผิดอื่นตั้งแต่เดือนมกราคม 2537 ถึงวันที่ 30 กรกฎาคม 2544 รวม 25 ครั้ง ซึ่งรวมทั้งการเตือนโจทก์ที่ขาดงานในวันที่ 10 ธันวาคม 2543 โดยโจทก์ละทิ้งหน้าที่ออกจากบริษัทจำเลยก่อนกำหนดเวลาเลิกงาน 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นโจทก์ก็ยังขาดงานครึ่งวันและทั้งวันอีกหลายครั้ง ต่อมาวันที่ 30 กรกฎาคม 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจา

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าโจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือนหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า แม้จำเลยจะมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบในวันเลิกจ้างว่าโจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือน ก็หาทำให้การกระทำของโจทก์กลับกลายเป็นไม่เป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือนตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยไม่ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4)

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสาม บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้าง ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้” นั้น มีวัตถุประสงค์ให้นายจ้างแสดงเหตุผลการเลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบ เพื่อให้ลูกจ้างทราบว่าถูกเลิกจ้างด้วยเหตุใด จริงหรือไม่ และลูกจ้างจะเรียกร้องค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์อื่นอันเนื่องมาจากากรเลิกจ้างได้หรือไม่เพียงใด ดังนั้น นายจ้างจึงต้องแสดงเหตุผลในการเลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะเลิกจ้างไม่ว่าจะเลิกจ้างเป็นหนังสือหรือด้วยวาจา กรณีเลิกจ้างเป็นหนังสือก็ต้องระบุเหตุผลไว้ในหนังสือเลิกจ้าง ส่วนการเลิกจ้างด้วยวาจาก็ต้องแจ้งเหตุผลแก่ลูกจ้างในขณะที่บอกเลิกจ้าง คดีนี้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจาและมิได้แจ้งแก่โจทก์ในขณะบอกเลิกจ้างว่าโจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือน จำเลยจึงไม่อาจยกเหตุตามมาตรา 119 (4) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เรื่องที่โจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือนขึ้นอ้างในภายหลังเพื่อปฏิเสธไม่จ่ายค่าชดเชยได้

สำหรับปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า จำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์หรือไม่ ? ซึ่งโจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ขาดงานในวันที่ 28 กรกฎาคม 2544 เพียงครึ่งวัน เนื่องจากป่วยและมีใบรับรองแพทย์ และที่โจทก์ปรากฏในวีดีโอเทป ก็เนื่องจากไปรับเงินจากลูกหนี้ โจทก์ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่และจงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้น

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ว่าการลาป่วยเกิดขึ้นภายหลังจากที่ทำงานมาแล้ว แต่ไม่สามารถทำงานต่อไปได้เพราะมีอาการเจ็บป่วย ให้ขออนุมัติการลาต่อผู้บังคับบัญชาโดยตรง กรณีของโจทก์แม้โจทก์จะมีใบรับรองแพทย์ว่าป่วยมาแสดง แต่การที่โจทก์ไปปรากฏตัวอยู่ในบริเวณที่ลูกจ้างของจำเลยและบุคคลอื่นรับงานซ่อมรถจากลูกค้าจำเลย แสดงว่าโจทก์ยังป่วยไม่ถึงขนาดที่จะไม่สามารถแจ้งการลาป่วยให้จำเลยทราบได้ เมื่อโจทก์ไม่ไปทำงานในช่วงบ่ายของวันที่ 28 กรกฎาคม 2544 ซึ่งเป็นวันทำงานโดยไม่ได้แจ้งการลาป่วยต่อผู้บังคับบัญชาทราบทั้งที่อยู่ในวิสัยที่จะแจ้งได้ จึงเป็นการจงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 อุทธรณ์ของโจทก์รับฟังไม่ขึ้น

คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อสุดท้ายว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ และจำเลยต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ซึ่งโจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจา และไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบในขณะเลิกจ้างว่าโจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือน อีกทั้งข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่า โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีร้ายแรง จึงเป็นการเลิกจ้างโดยที่โจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นั้น

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า การวินิจฉัยว่านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 มิได้บัญญัติไว้ว่า ถ้านายจ้างไม่ได้แจ้งเหตุผลในการเลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะเลิกจ้างแล้ว นายจ้างจะยกเหตุแห่งการเลิกจ้างขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้ และไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้นำพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสาม มาใช้บังคับแก่กรณีการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมด้วย ดังนั้น ในการพิจารณาคดีในกรณีที่ลูกจ้างฟ้องว่านายจ้างเลิกจ้างไม่เป็นธรรม นายจ้างย่อมยกเหตุเลิกจ้างขึ้นอ้างในภายหลังเพื่อต่อสู้คดีได้ แม้มิได้แจ้งเหตุผลในการเลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะเลิกจ้างก็ตาม ซึ่งการวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างของจำเลย คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ขาดงานในช่วงบ่ายวันที่ 28 กรกฎาคม 2544 โดยไม่แจ้งให้จำเลยทราบทั้งที่โจทก์สามารถแจ้งได้ อีกทั้งโจทก์ยังไปปรากฏตัวอยู่ในบริเวณที่ลูกจ้างจำเลยและบุคคลอื่นรับงานซ่อมรถจากลูกค้าของจำเลย พฤติการณ์ของโจทก์เช่นนี้ ทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าโจทก์อาศัยโอกาสในการทำงานกับจำเลยโดยร่วมกับผู้อื่นแสวงหาผลประโยชน์จากลูกค้าของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหาย จำเลยย่อมมีเหตุผลที่ไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทำงานต่อไป การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยความไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทำงานต่อไปนั้น ถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ข้อนี้รับฟังไม่ขึ้น(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4924/2546)

เป็นอย่างไรบ้างครับ......จะสังเกตเห็นได้ว่า ในเรื่องค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มีความแตกต่างกับการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 และการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 ลองค่อย ๆ อ่านดูหรืออ่านหลาย ๆ เที่ยวจะเข้าใจมากขึ้นครับ

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น