ในการฟ้องคดีต่อศาล บางครั้งคู่กรณีอาจมีข้อพิพาทอย่างอื่นกันอีกนอกเหนือจากข้อกล่าวหาในคดี จึงเกิดปัญหาขึ้นว่า คู่กรณีจะสามารถนำเรื่องดังกล่าวมาฟ้องร้องเพื่อให้ศาลได้พิพากษาไปในคดีเดียวกันได้หรือไม่เพียงใด หาคำตอบจากคดีข้างล่างนี้นะครับ
เรื่องเกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์ได้ยื่นฟ้องนายจ้างเป็นจำเลยต่อศาลแรงงานกลางว่า วันที่ 6 กันยายน 2545 จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่พนักงานขาย ได้รับค่าจ้างเดือนละ 6,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2545 ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2545 เป็นเงิน 7,500 บาท จำเลยเรียกเก็บเงินประกันการทำงานจากโจทก์รวม 4,000 บาท ตกลงจะคืนให้เมื่อโจทก์ออกจากงาน โจทก์ออกจากงานแล้วจำเลยก็ยังไม่จ่ายเงินทั้งสองจำนวนให้ พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งที่ 31/2545 ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2545 สั่งให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายและเงินประกันแก่โจทก์รวม 11,200 บาท พ้นกำหนดที่จำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งแล้ว จำเลยไม่นำคดีไปสู่ศาลและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 31/2545 โดยจ่ายค่าจ้างและเงินประกันรวม 11,200 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ระหว่างที่โจทก์ทำงานกับจำเลย จำเลยว่ากล่าวตักเตือนเรื่องโจทก์นำบุคคลภายนอกเข้ามาในร้านเป็นประจำ วันที่ 25 ตุลาคม 2545 จำเลยได้รับแจ้งจากอาคารสยามเซ็นเตอร์ว่าโจทก์กอดจูบกับบุคคลภายนอกในร้าน ทำให้ลูกค้าไม่กล้าเข้าร้าน ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายทำลายชื่อเสียงและผิดกฎระเบียบของจำเลย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันนั้น และมีการตรวจนับสินค้าในร้านเพื่อส่งมอบให้พนักงานที่จะเข้าทำหน้าที่แทน ปรากฏว่าสินค้าสูญหาย 23 ชิ้น รวมเป็นเงิน 86,180 บาท จำเลยแจ้งให้โจทก์มาชี้แจงหลายครั้ง แต่โจทก์ไม่ยอมมาชี้แจง ตามกฏระเบียบของจำเลยให้ถือว่า สินค้าที่สูญหายทั้งหมดเกิดจากการกระทำของพนักงาน จำเลยแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาว่าโจทก์กระทำอนาจารในร้านของจำเลยและยักยอกทรัพย์ เมื่อหักค่าจ้างและเงินประกันความเสียหายของโจทก์ชดใช้ค่าสินค้าที่โจทก์ยักยอกไปแล้ว โจทก์ต้องชดใช้เงินแก่จำเลยอีก 74,980 บาท ขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าสินค้า 74,980 แก่จำเลย
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่รับฟ้องแย้ง และคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2545 และออกจากงานแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานว่าจำเลยไม่คืนเงินประกันและไม่จ่ายค่าจ้าง พนักงานตรวจแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่คืนเงินประกัน 4,000 บาท และค้างจ่ายค่าจ้าง 7,200 บาท แก่โจทก์ แล้วมีคำสั่งที่ 31/2545 ให้จำเลยจ่ายเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานแล้ว ศาลแรงงานกลางเห็นว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยไม่นำคดีไปสู่ศาลภายใน 30 วัน ตามที่กฎหมายบัญญัติจำเลยไม่ให้การปฏิเสธ จึงฟังได้ว่า จำเลยไม่นำคดีไปสู่ศาลภายใน 30 วัน คำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 จำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน จำเลยไม่อาจยกข้ออ้างเพื่อขอหักชำระค่าเสียหายมาในชั้นนี้ได้ แม้คำขอบังคับของโจทก์ไม่ได้ขอคิดดอกเบี้ยมาด้วย แต่โจทก์ขอให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานซึ่งมีคำสั่งให้โจทก์ชำระดอกเบี้ยด้วย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 31/2545 ให้จ่ายค่าจ้างและเงินประกันรวม 11,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ฟ้องแย้งเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งที่ 31/2545 สั่งให้จำเลยชำระค่าจ้างและเงินประกันแก่โจทก์ พ้นกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติแล้ว จำเลยไม่นำคดีไปสู่ศาลและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน โจทก์ขอให้ศาลแรงงานแรงงานกลางบังคับจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 31/2545 การที่จำเลยไม่นำคดีไปสู่ศาลทำให้คำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคสอง ซึ่งจำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานนั้น ไม่มีสิทธินำคดีในเรื่องเดียวกันไปสู่ศาลอีก
ตามคำฟ้องจึงเป็นกรณีโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานอันเป็นที่สุดแล้ว ไม่เกี่ยวกับเรื่องโจทก์ยักยอกทรัพย์ของจำเลย โจทก์ต้องชดใช้ราคาทรัพย์ที่ยักยอกโดยจำเลยขอนำเงินตามจำนวนที่พนักงานตรวจแรงงานสั่งให้จำเลยชำระมาหักกับราคาทรัพย์แล้วให้โจทก์ชำระส่วนที่เหลือ จึงไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมของโจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยไม่รับฟ้องจำเลยนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2192/2548)
เป็นอย่างไรบ้างครับ.....หลายท่านอาจจะยังสงสัยว่าทำไมคดีข้างต้นนี้ นายจ้างหรือจำเลยจึงฟ้องแย้งไม่ได้ ในเมื่อการยักยอกทรัพย์ของลูกจ้างเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานหรือสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งโดยปกติที่ผ่าน ๆ มาหากท่านที่สังเกตจะเห็นได้ว่า ศาลแรงงานกลางมักจะรับฟ้องแย้ง เนื่องจากหลักเบื้องต้นของเรื่องการฟ้องแย้งนี้อยู่ที่ว่า ฟ้องแย้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ ? สำหรับคดีนี้ปรากฏว่า ศาลเห็นว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม เนื่องจาก จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้ละเลยไม่นำคดีฟ้องต่อศาลแรงงานกลางตั้งแต่ที่พนักงานตรวจแรงงานได้มีคำสั่งให้ปฏิบัติตาม และเมื่อลูกจ้างนำคดีมาฟ้องต่อศาลแรงงานกลางเพื่อขอให้ศาลบังคับนายจ้างหรือจำเลยให้ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน นายจ้างจึงเพิ่งมาฟ้องแย้งในคดี ซึ่งคดีที่ลูกจ้างฟ้องนั้นมีประเด็นของคดีที่แตกต่างออกไปแล้วว่า นายจ้างต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานหรือไม่ ? มิใช่การโต้แย้งกันเกี่ยวกับการค้างจ่ายค่าจ้างหรือเงินประกันเสียแล้ว ดังนั้น นายจ้างจะมาฟ้องแย้งว่าลูกจ้างยักยอกทรัพย์เพื่อขอให้ศาลบังคับลูกจ้างซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้ไม่ได้ ความจริงหากนายจ้างรีบฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานเสียตั้งแต่ต้น ก็จะไม่ต้องเสียเวลาอีก อย่างไรก็ดี นายจ้างรายนี้ยังไม่ได้เสียสิทธิในการที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือค่าทรัพย์คืนในกรณีถูกยักยอกทรัพย์ ต่อศาลเป็นคดีอื่น ผลของคดีนี้เป็นเพียงว่า นายจ้างจะฟ้องแย้งขอให้ศาลพิจารณารวมเรื่องไปในคราวเดียวกันนี้ไม่ได้เท่านั้น
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น