รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ผู้ที่ถูกหักเงินส่งกองทุนประกันสังคมเป็นลูกจ้างหรือไม่ ?

มีเรื่องที่พิพาทกันเกี่ยวกับสถานะภาพการเป็นนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งโจทก์ฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่าถูกเลิกจ้าง และขอให้บังคับนายจ้างจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม แต่จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างและจำเลยไม่ได้เลิกจ้าง จึงไม่ต้องจ่ายเงินดังกล่าวที่โจทก์ฟ้อง ลองติดตามดูรายละเอียดเอาเองก็แล้วกันครับ

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงรับการจ้างทำงานกับจำเลยในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการตลาดมาตั้งแต่เดือน มีนาคม 2532 เงินเดือนสุดท้ายเดือนละ 40,000 บาท ต่อมาเดือน กุมภาพันธ์ 2544 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์มีสิทธิได้รับเงินที่ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 40,000 บาท โจทก์ทำงานเกินกว่า 13 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 400,000 บาท เงินที่จำเลยหักไปจากเงินเดือนโดยไม่ชอบ 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 18,200 บาท เงินค่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย 2 ครั้ง ใน 2 ปี ติดต่อกันหลังเลิกจ้างเป็นเงิน 59,361 บาท และจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ขาดรายได้คิดเป็นเงิน 2,880,000 บาท ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยชำระเงินต่าง ๆ ดังกล่าวแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจร้านอาหารใช้ชื่อทางการค้าว่า ร้าน บ. เดิมโจทก์เข้าเป็นหุ้นส่วนกับจำเลย แต่เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 โจทก์ตกลงออกจากการเป็นหุ้นส่วนและผู้บริหารของจำเลยโดยตกลงขายหุ้นของจำเลยในส่วนของโจทก์ทั้งหมดให้แก่นาย ด. กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยด้วยความสมัครใจ มีการตกลงชำระเงินบางส่วนและส่วนที่เหลือให้ผ่อนชำระ ในระหว่างผ่อนชำระนั้นโจทก์ขอให้จำเลยช่วยต่อใบอนุญาตการทำงานให้โจทก์ เพื่อโจทก์จะได้สิทธิทำงานในประเทศไทย โจทก์มิได้เป็นพนักงานของจำเลยตามที่กล่าวอ้าง หากแต่เข้ามาเป็นหุ้นส่วนและขายหุ้นดังกล่าวจำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชย ค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจำเลยไม่เคยหักเงินเดือนโจทก์โดยไม่ชอบ ส่วนการหักภาษี ณ ที่จ่ายของโจทก์นั้นเป็นความยินยอมของโจทก์ เพื่อประโยชน์ของโจทก์ในการดำเนินการต่อใบอนุญาตทำงานของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ววินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2529 ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ใช้ชื่อร้านว่า บ. ปัจจุบันมีนาย ด. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทกระทำการแทนบริษัทโจทก์ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยตั้งแต่ปี 2531 และได้ร่วมกับนาย ด. บริหารกิจการของจำเลย โดยโจทก์ดูแลในเรื่องเอกสารต่าง ๆ รวมทั้งบริหารด้านการบัญชีและการเงิน ได้รับค่าตอบแทนในการบริหารครั้งสุดท้ายเป็นเงินเดือนละ 40,000 บาท ต่อมาวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 โจทก์ได้ขายหุ้นในบริษัทในส่วนของตนซึ่งขณะนั้นมีอยู่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ให้แก่นาย ด. เป็นเงิน 3,600,000 บาท โจทก์ได้รับเงินแล้วจำนวน 2,600,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 1,000,000 บาท มีข้อตกลงให้นาย ด. ผ่อนชำระเดือนละ 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยมีกำหนด 24 เดือน เริ่มผ่อนชำระตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2544 ในระหว่างผ่อนชำระค่าหุ้นนั้น นาย ด. จะต้องต่อใบอนุญาตการทำงานของโจทก์ในการทำงานกับจำเลยต่อไปจนกว่าจะชำระค่าหุ้นหมด หลังจากขายหุ้นแล้วโจทก์ไม่ได้เข้าไปทำงานกับจำเลยอีก แต่ได้เข้าไปช่วยฝึกงานด้านการบัญชีและการเงินให้พนักงานใหม่ของจำเลย 2 ถึง 3 ครั้ง นาย ด. ได้ผ่อนชำระค่าหุ้นให้โจทก์โดยจ่ายเป็นเงินเดือนของจำเลยให้แก่โจทก์จนครบตามสัญญา ในการจ่ายเงินนั้นได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และหักเงินที่จำเลยจะจ่ายให้แก่โจทก์เป็นเงินสมทบส่งสำนักงานประกันสังคมโดยระบุว่าโจทก์เป็นพนักงานของจำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ และจำเลยต้องรับผิดจ่ายเงินค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายที่เกิดจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เข้าไปบริหารงานของจำเลยในฐานะผู้ถือหุ้น การทำงานมีอิสระ ไม่ต้องมาทำงานทุกวัน ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ใดในบริษัทจำเลย และไม่ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลย โจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 แม้โจทก์จะได้รับค่าตอบแทนจากจำเลยเป็นเงินเดือนก็ไม่ใช่ค่าจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน เมื่อโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย จึงไม่ต้องหักเงินสมทบส่งสำนักงานประกันสังคม การที่จำเลยหักเงินที่โจทก์ได้รับจากจำเลยส่งเป็นเงินสมทบแก่สำนักงานประกันสังคมก็ไม่มีผลทำให้โจทก์กลับมีฐานะกลายเป็นลูกจ้างของจำเลย อีกทั้งศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่ได้ทำงานกับจำเลยต่อไป เนื่องจากโจทก์ขายหุ้นของจำเลยในส่วนของโจทก์ให้แก่นาย ด. โดยที่จำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2548)

คดีเรื่องนี้ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า ในการพิจารณาว่ามีสัญญาจ้างแรงงานหรือมีสถานะภาพเป็นนายจ้างและลูกจ้างหรือไม่ จะต้องพิจารณาอะไรบ้าง เนื่องจากบางครั้งอาจมีผู้เข้าใจผิดว่า หากมีการทำงานและมีการจ่ายค่าตอบแทนให้ต้องถือว่ามีความสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันแล้ว ซึ่งความจริงมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาอีกหลายประการ อย่างเช่นกรณีข้างต้นแม้มีการจ่ายค่าตอบแทนกัน แต่องค์ประกอบอื่นไม่เข้าข่ายการเป็นนายจ้างและลูกจ้าง ผลจึงออกมาว่าไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน และจากผลดังกล่าวจึงทำให้ไม่เกิดภาระหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้างที่จะต้องนำส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม.......จำไว้ให้ดีนะครับ

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น