ในการทำงานไม่ว่าจะเป็นภาคราชการหรือภาคเอกชน ต้องมี “ความตั้งใจ” เป็นหัวใจสำคัญ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลดีแก่องค์กร หากเป็นภาคราชการก็คือ การที่ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและได้รับบริการที่ดี ส่วนในภาคเอกชนก็คือ ผลกำไรที่สูง ฉะนั้น ถ้าลูกจ้างไม่ตั้งใจทำงานให้ได้ผลดี นายจ้างก็มักจะไม่พอใจและอาจถึงขั้นเลิกจ้างได้ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่เรื่องที่ว่าห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้าง แต่เป็นเรื่องที่ว่าการทำงานโดยขาดความตั้งใจดังกล่าวเป็นความผิดที่ร้ายแรงจนนายจ้างสามารถเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยได้หรือไม่
คุณคิดว่าอย่างไร ?
คดีเรื่องหนึ่งโจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างทำงาน ณ ที่ตั้งของบริษัทจำเลยที่ 1 สำนักงานใหญ่ ในกรุงเทพมหานคร ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายขายอาวุโส ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 22,000 บาท ค่าพาหนะจ่ายประจำทุกเดือนเดือนละ 3,000 บาท ต่อมาโจทก์ลาพักผ่อนตามระเบียบเป็นเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 3 – 5 มกราคม 2543 แต่เมื่อกลับมาทำงานในวันที่ 6 มกราคม 2543 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2543 โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม กลั่นแกล้งไม่ให้โจทก์มีอายุงานครบ 3 ปี โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยทั้งสองชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้าง 1 เดือน ค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงินค่าชดเชยนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ากับค่าเสียหายนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการโรงแรมชื่อ อ. จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป โจทก์ได้รับเงินเดือนสุดท้ายเดือนละ 22,000 บาท ส่วนค่าพาหนะจำเลยไม่ได้จ่ายเป็นประจำทุกเดือน แต่จะจ่ายเท่าจำนวนค่าน้ำมันที่โจทก์ใช้ไป จึงไม่ใช่ค่าจ้าง โจทก์เป็นพนักงานขายมีหน้าที่จัดหาลูกค้าเข้ามาใช้บริการด้านห้องพักและด้านจัดเลี้ยง แต่โจทก์ไม่เอาใจใส่ ไม่พยายามหาลูกค้ามาใช้บริการ แม้จำเลยจะได้ตักเตือนโจทก์หลายครั้ง แต่โจทก์ปล่อยปละละเลยไม่หาลูกค้าให้จำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้ยอดขายในช่วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือน ธันวาคม 2542 ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้มาก และโจทก์ทราบดีว่าโรงแรมของจำเลยที่ 1 กำลังขาดทุน เป็นหนี้ธนาคาร 400 ล้านบาทเศษ จำเลยที่ 1 ไม่สามารถชำระหนี้ได้จนถูกศาลพิพากษาให้ชำระหนี้ การกระทำของโจทก์เป็นการขัดคำสั่งของจำเลยที่ 1 จงใจทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ขาดรายได้จำนวนมาก เป็นความผิดตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่ได้เลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้น จำเลยที่ 2 กระทำการแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ยกฟ้องของโจทก์
โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิจารณาว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายขายอาวุโส ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 22,000 บาท ค่าพาหนะเดือนละ 3,000 บาท รวมค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 25,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน โจทก์มีหน้าที่หาลูกค้าและใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นประจำ ในเดือนมิถุนายน 2542 จำเลยที่ 1 กำหนดเป้าหมายให้โจทก์หารายได้ให้จำเลยที่ 1 จำนวน 500,000 บาท โจทก์ทำยอดขายได้ 230,900 บาท ในเดือนถัด ๆ ไปโจทก์ทำยอดขายได้ 1,750 บาท 3,000 บาท และ 4,500 บาท ตามลำดับ ในเดือนตุลาคม 2542 จำเลยที่ 1 กำหนดเป้าหมายให้โจทก์หารายได้จำนวน 625,000 บาท แต่โจทก์ทำยอดขายได้ 8,000 บาท 68,045 บาท และ 22,600 บาท ตามลำดับ สรุปแล้วในครึ่งปีหลังโจทก์ทำยอดขายได้ไม่ถึงร้อยละ 10 ของยอดขายที่จำเลยที่ 1 กำหนดเป้าหมายให้โจทก์หารายได้ในแต่ละเดือนเนื่องจากโจทก์ไม่ตั้งใจทำงาน ต่อมาวันที่ 7 มกราคม 2543 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์
สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 3 และข้อ 4.2 ที่ว่า โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งของจำเลยที่ 1 เป็นกรณีร้ายแรง หรือจงใจทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างกำหนดเป้าหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างหารายได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้ แต่โจทก์ไม่สามารถทำยอดขายหรือหารายได้ตามเป้าหมายหรือจำนวนที่จำเลยที่ 1 กำหนดคือในครึ่งปีหลังของปี 2542 โจทก์ทำยอดขายได้ไม่ถึงร้อยละ 10ของยอดที่จำเลยที่ 1 กำหนดเป้าหมายไว้เนื่องจากโจทก์ไม่ตั้งใจทำงาน ซึ่งถือว่าโจทก์ทำงานตามหน้าที่หรือคำสั่งของจำเลยที่ 1 แล้วแต่ทำงานโดยขาดความตั้งใจ ถือว่าโจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยที่ 1 แต่ไม่ใช่กรณีร้ายแรงและไม่ถือว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจอ้างสาเหตุดังกล่าวขึ้นมาเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) และ (2) ได้ จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วันเป็นเงิน 75,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118(2) มาตรา 9 วรรคหนึ่ง อุทธรณ์ข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนอุทธรณ์ที่ว่า การที่จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และต้องจ่ายค่าเสียหายในการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์หรือไม่เพียงใด และจำเลยที่ 1 ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์มาเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของจำเลยที่ 1 ซึ่งดำเนินกิจการโรงแรม ย่อมเป็นที่เข้าใจอยู่ในตัวว่าจำเลยที่ 1 ต้องมุ่งหวังให้โจทก์ขยันขันแข็งในการหาลูกค้าเข้ามาพักในโรงแรมของจำเลยที่ 1 เพื่อให้กิจการโรงแรมของจำเลยที่ 1 ดำเนินไปด้วยดี แต่กลับปรากฏว่าโจทก์ไม่ตั้งใจทำงาน ทำยอดขายหรือหาลูกค้าเข้ามาใช้บริการของโรงแรมของจำเลยที่ 1 ต่ำกว่าเป้าหมายที่จำเลยที่ 1 กำหนดไว้ในแต่ละเดือนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในครึ่งปีสุดท้ายโจทก์ทำยอดขายได้ไม่ถึงร้อยละ 10 ของยอดขายที่จำเลยที่ 1 กำหนดเป้าหมายไว้ ด้วยเหตุดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นได้ว่า โจทก์ขาดประสิทธิภาพในการทำงาน หากจำเลยที่ 1 ยังขืนให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวต่อไป ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 1 อย่างแน่นอน การที่จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์จึงนับว่าเป็นการสมเหตุสมผล อีกทั้งไม่ปรากฏว่าเป็นการเลิกจ้างโจทก์เพราะต้องการกลั่นแกล้งโจทก์แต่อย่างใด จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายในส่วนนี้ นอกจากนี้การกระทำของโจทก์ซึ่งไม่ตั้งใจทำงานและทำยอดชายหรือหาลูกค้าเข้ามาใช้บริการของโรงแรมจำเลยที่ 1 ต่ำกว่าเป้าหมายเป็นอย่างมากดังกล่าวย่อมถือได้ว่าโจทก์กระทำการประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องสุจริต จำเลยที่ 1 จึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ อุทธรณ์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดเลิกจ้างโจทก์โดยจำเลยที่ 2ซึ่งกระทำในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4922/2546)
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น