การเลิกจ้างที่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือนั้น บางครั้งก็อาจเป็นที่โต้แย้งกันได้ โดยฝ่ายนายจ้างมักจะอ้างว่ายังไม่ได้เลิกจ้างลูกจ้าง แต่ฝ่ายลูกจ้างจะอ้างว่าตนเองถูกเลิกจ้างแล้ว ทั้งนี้ การเลิกจ้างหรือไม่มีผลกระทบในเรื่องต่าง ๆ หลายเรื่อง เช่น การบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าเสียหายในการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม การกระทำอันไม่เป็นธรรม เป็นต้น
จึงขอนำคดีที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับข้อพิพาทกันว่า นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างหรือยังมาให้ดูเป็นตัวอย่าง เนื่องจากลูกจ้างได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางเรียกร้องให้นายจ้างจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม แต่นายจ้างต่อสู้ว่า ลูกจ้างขาดงานไป นายจ้างไม่ได้เลิกจ้างแต่อย่างใด และในชั้นต้นศาลแรงงานกลางได้พิพากษาว่า นายจ้างยังไม่ได้เลิกจ้าง ให้ยกฟ้องของลูกจ้าง ส่วนผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ก็ขอเชิญติดตามข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้เลย
คดีนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2545 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ว่าร่วมกันทุจริตยักยอกสินค้าของโจทก์รวมเป็นจำนวนเงิน 150,001.45 บาท โดยมีจำเลยที่ 3 ถึงจำเลยที่ 6 ในฐานะผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2545 โจทก์และจำเลยทั้งหกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า ข้อ 1 จำเลยทั้งหกยินยอมร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ 70,000 บาท โดยจะนำเงินดังกล่าวมาวางศาลเพื่อให้โจทก์ได้รับไปภายในวันที่30 ธันวาคม 2545 และข้อ 5 การประนีประนอมยอมความในคดีนี้ไม่ให้ถือว่าเป็นการยอมความในคดีอาญาที่โจทก์แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ศาลแรงงานกลางพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด เมื่อจำเลยทั้งหกไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ขอหมายบังคับคดี วันที่ 21 มกราคม 2547 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขอยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความโดยอ้างว่า ในคดีอาญาที่โจทก์ไปร้องทุกข์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 ร่วมกันยักยอกสินค้าของโจทก์ซึ่งเป็นสินค้ารายเดียวกันกับสินค้าของโจทก์ที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีพิพากษายกฟ้องทั้งสองคดีโดยวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มิได้กระทำความผิด จำเลยที่ 2 มิได้ถูกฟ้องด้วยเนื่องจากยังไม่สามารถจับตัวมาดำเนินคดีได้) จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้เป็นหนี้ที่จะต้องชดใช้ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง อีกทั้ง จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะถูกโจทก์ข่มขู่จะดำเนินคดีทางอาญาให้ติดคุกหลายปี ศาลแรงงานกลางนัดพร้อมเพื่อสอบถามคู่ความในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2547 ในวันนัดพร้อมจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งเพิกถอนหมายอายัดเงินเดือนของจำเลยที่ 1 ด้วย ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในวันนัดพร้อมว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในมาตรา 138 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเท่านั้น ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ทั้งสองฉบับ วันที่ 7 เมษายน 2547 ทนายความจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อศาลแรงงานกลางโดยอ้างว่า จำเลยที่ 1 ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุถอนการบังคับคดีหรืองดการบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292 และมาตรา 295 แต่อย่างใด ยกคำร้องให้ไปใช้สิทธิทางศาลต่อไป และจำเลยที่ 1 อ้างว่าผลของคำพิพากษาคดีอาญาตามที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ซึ่งทรัพย์ดังกล่าวเป็นรายเดียวกับสินค้าของโจทก์ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกในคดีนี้ เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 1 ไม่มีมูลหนี้จะต้องรับผิดในหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องศาลแรงงานกลาง จึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนหรืองดการบังคับคดี
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า เมื่อคดีนี้โจทก์และจำเลยทั้งหกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว จึงถือว่าคดีระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งหกนั้นถึงที่สุดแล้ว และเมื่อจำเลยทั้งหกไม่ชำระเงินให้โจทก์ตามกำหนดวันเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยทั้งหกและเจ้าพนักงานบังคับคดีก็มีอำนาจบังคับคดีตามหมายของศาล แม้ภายหลังจะปรากฏว่าศาลแขวงสุราษฎร์ธานีได้พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ซึ่งเป็นทรัพย์รายเดียวกับสินค้าของโจทก์ในคดีนี้ก็ตาม ก็มีผลเพียงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์เท่านั้น หาทำให้คดีที่จำเลยทั้งหกทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทกืไปแล้วนั้นเป็นคดีที่ไม่มีมูลหนี้ไม่ ดังนั้น ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนหรืองดการบังคับคดีได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งของศาลแรงงานกลางต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์อ้างว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยปรับบทกฎหมายผิดพลาดและคลาดเคลื่อนไป กล่าวคือ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีมีคำพิพากษาในคดีอาญาคดีหมายเลขแดงที่ 1805/2546 และหมายเลขแดงที่ 1806/2546 ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์เท่านั้น โดยไม่วินิจฉัยปรับบทกฎหมายในส่วนที่ว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีมูลหนี้ที่ต้องรับผิดในคดีอาญาด้วยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลแขวงสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นทรัพย์รายเดียวกับสินค้าของโจทก์ในคดีนี้ ดังนั้น การทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์จึงเป็นการทำสัญญาในหนี้ที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกัน การที่ศาลแรงงานกลางไม่ได้นำบทกฎหมายในส่วนที่ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิดอาญาและไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องรับผิดในคดีอาญามาประกอบการวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นอุทธรณ์ที่อ้างว่าไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องรับผิด ย่อมเป็นการอ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ชอบ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาตามยอมจึงไม่ขอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะต้องอุทธรณ์ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลแรงงานกลางได้มีคำพิพากษาตามยอมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว คดีจึงขาดอายุอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8769/2548)
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น