รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โยกย้ายตำแหน่งงานของลูกจ้าง

การโยกย้ายพนักงานหรือลูกจ้างนั้นเป็นเรื่องปกติในหน่วยงาน เนื่องจากเป็นอำนาจในทางการบริหารของนายจ้างที่กระทำไปเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายของหน่วยงาน และในการสมัครงานส่วนมากจะระบุไว้ชัดแจ้งว่า นายจ้างมีสิทธิโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่การงานของพนักงานหรือลูกจ้างได้ แต่มีข้อที่นายจ้างต้องระมัดระวังอยู่บ้างเหมือนกัน ดังเช่นคดีข้างล่างนี้

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2543 จำเลยได้จ้างโจทก์ให้เข้าทำงานในตำแหน่งเลขานุการ เริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2543 โดยประจำที่สำนักงานใหญ่ฝ่ายจัดซื้อ รัชดาภิเษก ระหว่างที่จำเลยจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2543 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2545 จำเลยได้สั่งให้โจทก์มาทำงานในวันหยุดตามประเพณี คือวันสิ้นปี วันปีใหม่ วันมาฆะบูชา วันแรงงาน วันออกพรรษา วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินีนาถ วันปิยมหาราช วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันรัฐธรรมนูญ โดยจำเลยไม่ปฏิบัติตามประกาศเรื่องวันหยุดตามประเพณีที่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเป็นการล่วงหน้า ซึ่งโจทก์ยังเหลือวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2545 อีก 3 วัน ที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ ต่อมาวันที่ 16 ธันวาคม 2545 โจทก์ได้รับการโอนย้ายตำแหน่งไปรับงานใหม่ในตำแหน่งพนักงานทั่วไปประจำแผนกผักและผลไม้ สาขาสุขาภิบาล 1 การโอนย้ายตำแหน่งงานดังกล่าวเป็นการลดตำแหน่งของโจทก์ลงโดยไม่ชอบ ไม่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความอับอาย และไม่มีเหตุผลในการย้าย เป็นการบังคับโจทก์ทางอ้อมให้ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ โจทก์ได้ยื่นหนังสือปฏิเสธต่อจำเลย จำเลยออกหนังสือยืนยันการโอนย้ายพร้อมทั้งหนังสือตักเตือนการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยโจทก์ได้ยื่นหนังสือยืนยันปฎิเสธการโอนย้ายตำแหน่งงานต่อจำเลยอีกครั้ง จนกระทั่งวันที่ 24 ธันวาคม 2545 จำเลยมีหนังสือบอกเลิกจ้างต่อโจทก์ การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่โจทก์ยังไม่ได้ใช้สิทธิจำนวน 3 วัน ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณี 13 วัน และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 47,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โจทก์ยังคงเหลือวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2545 จำนวน 3 วัน และยังไม่ได้ใช้สิทธิหยุดจริง จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานกับจำเลยตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2543 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2545 ระหว่างการทำงานจำเลยไม่เคยสั่งให้โจทก์มาทำงานในวันหยุดตามประเพณีแต่อย่างใด การที่โจทก์มาทำงานในวันหยุดตามประเพณีเป็นความสมัครใจของโจทก์เอง ที่ได้ทำเรื่องขออนุมัติมาทำงานในวันหยุดตามประเพณีต่อหัวหน้างาน เพื่อโจทก์จะได้รับการชดเชยให้หยุดตามประเพณีในวันทำงานอื่นตามที่โจทก์ต้องการ โจทก์ได้รับการหยุดชดเชยวันหยุดตามประเพณีในวันทำงานอื่นครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีจากจำเลยอีก จำเลยได้โอนย้ายตำแหน่งหน้าที่การงานของโจทก์ จากตำแหน่งเดิมพนักงานเลขานุการในฝ่ายจัดซื้อที่สาขารัชดาภิเษก ให้ไปทำงานเป็นพนักงานทั่วไปประจำแผนกผักและผลไม้ที่สาขาสุขาภิบาล 1 เป็นการบริหารงานบุคคลของจำเลยเพื่อให้งานกับคนมีความเหมาะสมกัน จำเลยได้กระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ไม่เป็นการละเมิดหรือกลั่นแกล้งโจทก์ ตามสัญญาว่าจ้างได้ให้อำนาจจำเลยสามารถทำการโยกย้ายสับเปลี่ยนตำแหน่งงานโจทก์ได้ จำเลยในฐานะนายจ้างจึงมีสิทธิโดยชอบที่จะโยกย้ายตำแหน่งงานโจทก์เพื่อความเหมาะสมและสอดคล้องกับแนวนโยบายของบริษัทจำเลยที่ให้ไว้ ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง การที่โจทก์ฝ่าฝืนไม่ไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งงานใหม่ตามที่จำเลยมอบหมาย เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของนายจ้าง จำเลยได้ตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือ 2 ครั้งแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ด้วยสาเหตุดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินชดเชย ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าทำงานในวันหยุด และค่าเสียหายใด ๆ จากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีประจำปี 2545 ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 119,64 3.28 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีนาย ท. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลย มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าทุกชนิดประเภท อาหาร ซุปเปอร์สโตร์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และศูนย์การค้า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานตำแหน่งเลขานุการประจำสำนักงานใหญ่ฝ่ายจัดซื้อรัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 ได้ค่าจ้างเดือนละ 15,900 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.1 และข้อ 2.3 ว่า จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ และต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545 จำเลยย้ายโจทก์จากตำแหน่งเลขานุการประจำสำนักงานใหญ่ ฝ่ายจัดซื้อรัชดาภิเษก ไปดำรงตำแหน่งพนักงานทั่วไปประจำแผนกผักและผลไม้ของจำเลย สาขาสุขาภิบาล 1 แล้วโจทก์ไม่ยอมย้ายไปทำงานในตำแหน่งดังกล่าว จำเลยจึงมีหนังสือเตือนให้โจทก์ไปปฏิบัติงานตามตำแหน่งใหม่ แต่โจทก์ไม่ยอมไปทำงานในตำแหน่งใหม่ตามหนังสือเตือน จำเลยจึงมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2545 อ้างว่า โจทก์จงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลย อันเป็นการกระทำผิดซ้ำหนังสือเตือน

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า แม้นายจ้างจะมีอำนาจบริหารในการโยกย้ายตำแหน่งงานของลูกจ้าง เพื่อให้เหมาะสมแก่งาน แต่การย้ายนั้นต้องไม่เป็นการลดตำแหน่งหรือค่าจ้างของลูกจ้าง อีกทั้งไม่เป็นการกลั่นแกล้งลูกจ้างด้วย การที่จำเลยย้ายโจทก์ในตำแหน่งเลขานุการประจำสำนักงานใหญ่ฝ่ายจัดซื้อ ซึ่งทำงานธุรการในฝ่ายจัดซื้อไปดำรงตำแหน่งพนักงานทั่วไปประจำแผนกผักและผลไม้ สาขาสุขาภิบาล 1 ของจำเลยซึ่งทำหน้าที่จัดเตรียมสินค้าและชั่งผลไม้ รวมทั้งทำความสะอาดในบริเวณสถานที่ที่มีลักษณะงานที่ด้อยกว่าเดิม อีกทั้งเป็นการย้ายโจทก์จากตำแหน่งเลขานุการ ซึ่งเป็นพนักงานระดับ 4 ไปเป็นพนักงานทั่วไปประจำแผนกผักและผลไม้ ซึ่งหัวหน้าแผนกดังกล่าวเป็นระดับ 3จึงเป็นการย้ายที่ลดตำแหน่งของโจทก์ลง แม้จะจ่ายค่าจ้างเท่าเดิม ก็เป็นคำสั่งย้ายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ การที่โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมไปทำงานในตำแหน่งใหม่ที่ต่ำกว่าเดิมนั้น มิใช่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของนายจ้าง จำเลยไม่อาจออกหนังสือเตือนในการกระทำของโจทก์ดังกล่าวได้ การที่โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมไปทำงานในตำแหน่งใหม่จึงไม่ใช่เป็นการกระทำผิดซ้ำหนังสือเตือนตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุอันสมควร ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์นั้นชอบแล้วอุทธรณ์ทั้งสองข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 868/2548)

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น