คำว่า “อุปการะ” มีความหมายเพียงใด ? บางท่านอาจคิดเลยไปถึง “การเลี้ยงต้อย” ขอบอกไว้ก่อนว่า ไม่ใช่นะครับ
คำว่า “อุปการะ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานมีความหมายว่า ช่วยเหลือเกื้อกูล, อุดหนุน ปัญหาที่จะกล่าวถึงมีอยู่ว่า กฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนได้กำหนดว่า ในกรณีที่ไม่มีผู้มีสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้นายจ้างจ่ายเงินทดแทนแก่ผู้ซึ่งอยู่ในอุปการะของลูกจ้างก่อนลูกจ้างถึงแก่ความตายหรือสูญหาย แต่ผู้อยู่ในอุปการะดังกล่าวจะต้องได้รับความเดือดร้อนเพราะขาดอุปการะจากลูกจ้างที่ตายหรือสูญหาย เมื่อลูกจ้างตาย พี่สาวของผู้ตายจึงมาเรียกร้องเงินทดแทน และพิพาทกันถึงศาลฎีกา อยากทราบว่าผลเป็นอย่างไร ต้องติดตามกันต่อไปข้างล่างนี้
รายละเอียดของเรื่องดังกล่าวมีอยู่ว่า โจทก์ฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เป็นพี่สาวร่วมบิดามารดาเดียวกับนายเวียด ประดับประดา บิดามารดาของโจทก์ถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2544 นายเวียด ฯ ประสบอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกเฉี่ยวชนถึงแก่ความตายขณะทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทส่องแสงขนส่งจำกัด หลังจากนายเวียดฯ ถึงแก่ความตายแล้ว สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครราชสีมาวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริง และค่าจัดการศพเท่านั้น ส่วนค่าทดแทนรายเดือน เดือนละ 5,250 บาท เป็นเวลา 8 ปี เป็นเงินจำนวน 504,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับ โจทก์จึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน เนื่องจากโจทก์และครอบครัวมีฐานะยากจน มีอาชีพรับจ้างและมีรายได้ไม่แน่นอน ขณะนายเวียดฯ มีชีวิตอยู่ได้ส่งเงินให้โจทก์ใช้จ่ายทุกเดือน เดือนละ 1,000 – 1,500 บาท โจทก์จึงเป็นผู้ที่อยู่ในอุปการะของนายเวียดฯ ก่อนตาย และการตายของนายเวียดฯ ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเพราะขาดอุปการะ แต่คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีคำวินิจฉัยยืนตามคำวินิจฉัยของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งโจทก์เห็นว่าเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนที่ 223/2544 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2544 และให้โจทก์ได้รับเงินทดแทนตามกฎหมาย
จำเลยให้การว่า โจทก์และสามีประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป มีรายได้พอเลี้ยงครอบครัวตนเองได้ และดำรงชีพอยู่ได้ตามฐานานุรูป การที่นายเวียดฯ ผู้ตายให้เงินโจทก์ใช้จ่ายครั้งละ 1,000 – 1,500 บาท ก็เป็นการให้ในฐานะที่โจทก์เป็นพี่สาวและมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรถึง 4 คน เป็นการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในครอบครัวโจทก์ มิใช่เป็นการอุปการะเลี้ยงดูตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เป็นพี่สาวร่วมบิดามารดาเดียวกับนายเวียดฯ ผู้ตาย บิดามารดาของโจทก์ถึงแก่ความตายไปหลายปีแล้ว นายเวียดฯ ยังไม่มีภริยาและบุตร และอาศัยอยู่กับโจทก์ที่จังหวัดสุรินทร์ วันที่ 24 มีนาคม 2543 นายเวียดฯ เข้าทำงานเป็นพนักงานขับรถของบริษัทส่องแสงขนส่ง จำกัด ต่อมาวันที่ 28 มกราคม 2544 นายเวียดฯ ถูกรถยนต์ชนจนถึงแก่ความตาย โจทก์เป็นผู้จัดการศพ หลังจากนั้นได้ยื่นคำร้องขอรับเงินทดแทน จำเลยจ่ายค่าทำศพให้จำนวน 16,500 บาท ส่วนเงินทดแทนรายเดือนจำนวน 504,000 บาท จำเลยเห็นว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับ เพราะไม่ใช่ผู้อยู่ในอุปการะของนายเวียดฯ ก่อนตาย โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน แต่คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนวินิจฉัยยืนตามจำเลย
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงว่า โจทก์อยู่ในอุปการะของผู้ตาย อันจะเป็นเหตุให้ได้รับเงินทดแทนหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 20 วรรคท้าย บัญญัติว่า “ในกรณีที่ไม่มีผู้มีสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้นายจ้างจ่ายเงินทดแทนแก่ผู้ซึ่งอยู่ในอุปการะของลูกจ้างก่อนลูกจ้างถึงแก่ความตายหรือสูญหาย แต่ผู้อยู่ในอุปการะดังกล่าวจะต้องได้รับความเดือดร้อนเพราะขาดอุปการะจากลูกจ้างที่ตายหรือสูญหาย” ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาปรากฏว่า โจทก์อยู่กินกับสามี มีบุตรด้วยกัน 4 คน โจทก์มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ส่วนสามีมีอาชีพรับจ้างขับรถ บุตรคนโตประกอบอาชีพแล้ว โจทก์กำลังส่งเสียบุตรให้ได้รับการศึกษาอีก 3 คน และก่อนที่นายเวียดฯ ผู้ตายจะได้งานขับรถทำที่บริษัทส่องแสงขนส่ง จำกัด เคยอยู่ในความอุปการะของโจทก์ เพราะบิดามารดาผู้ตายถึงแก่กรรมไปก่อนแล้ว ภายหลังผู้ตายได้งานทำ ผู้ตายจึงนำเงินมาให้โจทก์บ้างเป็นบางเดือน เห็นว่า ผู้ตายเคยให้เงินโจทก์บางเดือนเดือนละประมาณ 1,000 บาท ถึง 1,500 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่มากนัก โดยให้ในช่วงผู้ตายได้งานทำในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี การให้ดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นเพียงแต่ทำให้โจทก์ได้รับความสะดวกสบายในชีวิตครอบครัวเพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ต้องได้รับความเดือดร้อนเพราะไม่ได้รับเงินจากผู้ตายในบางเดือน ฉะนั้น การที่โจทก์ได้รับเงินจากผู้ตายดังกล่าวจึงยังไม่ถึงขั้นที่จะถือว่าโจทก์อยู่ในอุปการะของผู้ตายตามความหมายของพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 20 วรรคท้าย โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3922/2546)
จะเห็นได้ว่า เรื่องนี้ลูกจ้างได้ช่วยเหลือพี่สาวเมื่อตนเองทำงานได้ ในลักษณะของการตอบแทนบุญคุณกัน ที่พี่สาวได้เคยอุปการะตนเองมาก่อน มิใช่เรื่องที่ผู้ตายทำการอุปการะพี่สาวในความหมายของกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนดังกล่าวข้างต้น เนื่องจากหากผู้ตายไม่ช่วยเหลือตอบแทนพี่สาวบ้าง ก็จะกลายเป็นคนอกตัญญู พี่สาวจึงไม่ได้สิทธิในการรับเงินทดแทนในกรณีที่ลูกจ้างตายลง แนวการวินิจฉัยเรื่องนี้จึงทำให้สามารถเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “อุปการะ” ชัดเจนขึ้น จริงไหมครับ ?
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น