ปกติคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลแรงงานมักจะเกิดจากการที่ลูกจ้างฟ้องร้องนายจ้าง กรณีที่นายจ้างจะฟ้องร้องลูกจ้างมีน้อยมากเว้นแต่เป็นกรณีที่นายจ้างฟ้องแย้ง กล่าวคือเมื่อนายจ้างถูกฟ้องต่อศาล นายจ้างได้ฟ้องแย้งกลับเพื่อเรียกค่าเสียหายจากลูกจ้าง แต่คดีนี้นายจ้างฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากลูกจ้างโดยตรงมาให้ศึกษากันบ้าง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเล็กน้อย
รายละเอียดของคดีนี้มีอยู่ว่า โจทก์ยื่นฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ดำเนินกิจการธนาคารพาณิชย์ จำเลยเคยเป็นพนักงานของโจทก์ ตำแหน่งผู้จัดการสาขาตรัง โจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยมีอำนาจจัดการบริหารและดำเนินธุรกิจของโจทก์ตามระเบียบและคำสั่งของโจทก์เพื่อให้สมประโยชน์ของโจทก์ จำเลยยังมีหน้าที่ดูแลบัญชีเอกสารต่าง ๆ ทั้งต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบซื้อสัตย์สุจริต ระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งผู้จัดการสาขาตรัง จำเลยได้กระทำด้วยความประมาทเลินเล่อและฝ่าฝืนต่อระเบียบข้อบังคับของโจทก์ เป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจ ผิดสัญญาจ้างและเป็นละเมิด เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คือจำเลยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อในการจัดทำนิติกรรมระหว่างโจทก์สาขาตรังกับลูกค้า โดยจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ในกรณีลูกค้าของโจทก์สาขาตรังราย นาย ส. ได้รับอนุมัติสินเชื่อประเภทเบิกเงินเกินบัญชี ซึ่งมีเงื่อนไขว่าในการทำสัญญาต้องให้นาย ว. ทำสัญญาค้ำประกันและนำที่ดินมาจำนองด้วย วันที่ 18 พฤศจิกายน 2537 นาย ส. มาที่ธนาคารโจทก์สาขาตรัง และทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์สาขาตรัง วงเงิน 2,000,000 บาท ในวันดังกล่าว นาย ว. จะต้องมาที่ทำการด้วยเพื่อลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกัน แต่ไม่ได้มา ด้วยความประมาทเลินเล่อและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของโจทก์ จำเลยมอบสัญญาค้ำประกันให้บุคคลภายนอกนำไปให้นาย ว. ลงลายมือชื่อนอกที่ทำการสาขา ต่อมานาย ส. ไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จึงฟ้องนาย ส. และนาย ว. เป็นคดีที่ศาลจังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2540 ปรากฏว่าลายมือชื่อนาย ว. ในสัญญาค้ำประกันเป็นลายมือชื่อปลอม โจทก์จึงถอนฟ้องนาย ว. คงดำเนินคดีกับนาย ส. ต่อไป จนศาลจังหวัดตรังพิพากษาให้นาย ส. ชำระหนี้ แต่โจทก์ไม่สามารถบังคับชำระหนี้กับนาย ส. ได้ โจทก์จึงฟ้องนาย ส. เป็นคดีล้มละลาย ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว โจทก์ได้ตั้งกรรมการสอบสวนจำเลย และมีคำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ โดยมีเงื่อนไขให้จำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้ แต่จำเลยไม่ยอมลงชื่อจำนวนเงิน 2,557,418.25 บาท เท่ากับเงินที่โจทก์ไม่สามารถไล่เบี้ยเอาจากนาย ว. ผู้ค้ำประกันได้ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จของต้นเงิน 2,309,262.85 บาท คิดถึงวันฟ้องเป็นเงินและดอกเบี้ย 2,591.393.13 บาท ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยชำระหนี้จำนวน 4,900,675.98 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,309,282.85 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยขาดนัด
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินค่าเสียหายจำนวน 2,000,000 บาท ให้แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ ปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ โดยปล่อยให้บุคคลภายนอกนำสัญญาค้ำประกันรายนาย ว. ออกไปให้ผู้ค้ำประกันลงชื่อโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ของโจทก์ไปด้วย ปรากฏภายหลังว่าลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นลายมือชื่อปลอม ทำให้โจทก์ไม่สามารถบังคับชำระหนี้ได้ การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นการละเมิดต่อโจทก์ด้วย ความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่บกพร่องของจำเลยโดยตรงคือหนี้ต้นเงินจำนวน 2,000,000 บาท หากจำเลยปฏิบัติหน้าที่ไม่บกพร่องหนี้รายนี้มีประกันพอคุ้มหนี้ ความเสียหายที่เป็นสาเหตุโดยตรงจากการที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่บกพร่องคือต้นเงินจำนวน 2,000,000 บาท ที่โจทก์ต้องสูญเสียไป มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า ต้องนำดอกเบี้ยตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีมาคิดคำนวณเป็นค่าเสียหายให้แก่โจทก์ด้วยหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารสามารถเรียกเอาจากลูกหนี้ผู้ทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ได้รวมทั้งผู้ค้ำประกันด้วย แต่จำเลยไม่ใช่เป็นผู้ค้ำประกันหนี้แห่งความเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ คือความเสียหายที่โจทก์ไม่สามารถบังคับเอาแก่ผู้ค้ำประกันได้ อันเป็นความเสียหายโดยตรงที่จำเลยในฐานะลูกจ้างต้องรับผิดตามสัญญาจ้างแรงงานและในฐานะผู้ทำละเมิดต่อโจทก์ การที่ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำนวน 2,000,000 บาท ของต้นเงินตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดโดยไม่ได้นำเอาดอกเบี้ยตามสัญญาบัญขีเดินสะพัดในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี มาคิดคำนวณเป็นค่าเสียหายให้ด้วย โดยวินิจฉัยตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 ย่อมชอบด้วยกฎหมายต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในหนี้เงินที่เกิดจากมูลละเมิดในอัตราใดนับแต่เมื่อใดนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า หนี้จำนวน 2,000,000 บาท เป็นหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิดที่จำเลยกระทำผิดสัญญาจ้างต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง เป็นหนี้ค่าเสียหาย จึงเป็นหนี้เงิน โจทก์ชอบที่จะเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 แต่โจทก์อุทธรณ์ขอนับแต่วันฟ้อง จึงสมควรกำหนดให้ตามขอ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงิน 2,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1393/2548)
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น