รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จ้างเพื่อชำระบัญชี

โดยปกติถ้ามีการเลิกจ้างพนักงานแล้ว ก็ถือว่าสัญญาจ้างสิ้นสุดลง แต่บางครั้งมีความจำเป็นนายจ้างจะจ้างพนักงานนั้นไว้เพื่อทำงานต่อไปก็ได้ จึงเกิดปัญหาว่า การที่นายจ้างให้พนักงานดังกล่าวทำงานต่อไปนั้น ถือว่ายกเลิกการจ้างหรือไม่ ? อายุการทำงานจะนับต่อจากเดิมหรือไม่ ? และสิทธิประโยชน์ของพนักงานจะเสียไปไหม ? คำถามเหล่านี้คงมีคำตอบได้หลายอย่างแล้วแต่ข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่อง ดังเช่นคดีข้างล่างนี้

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางว่า เดิมโจทก์เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น สาขาภูเก็ต กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต่อมามีพระราชกฤษฎีกายุบเลิกองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นโดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 และทำให้โจทก์พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ จำเลยเป็นประธานกรรมการผู้ขอชำระบัญชีขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2542 จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานบัญชี อัตราค่าจ้างเดือนละ 7,210 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 31 มกราคม 2545 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิด โจทก์ทำงานกับจำเลยติดต่อกันมาครบ 3 ปี แต่ไม่ถึง 6 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน คิดเป็นเงิน 43,260 บาท นอกจากนี้การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากต้องตกงานและขาดรายได้ประจำจึงถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน 100,000 บาท ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 43,260 บาท และค่าเสียหาย 100,000 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า การที่จำเลยไม่จ่ายค่าชดเชยหรือเลิกจ้างโจทก์นั้นเป็นไปตามมติการประชุมของคณะกรรมการผู้ชำระบัญชีขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นมิใช่เป็นการกระทำในฐานะส่วนตัว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย หลังจากที่มีพระราชกฤษฎีกายุบเลิกองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นเมื่อปี 2541 โจทก์ได้รับค่าชดเชยจำนวน 6 เท่าของค่าจ้างเดือนสุดท้าย แต่เนื่องจากองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นไม่สามารถหยุดดำเนินกิจการได้ทันที และจะต้องมีการชำระบัญชีจึงให้โจทก์ทำงานด้านบัญชีซึ่งเป็นงานที่ต่อเนื่องกับงานเดิม นอกจากนี้เมื่อเดือนตุลาคม 2543 โจทก์ยังได้รับค่าชดเขยพิเศษจำนวน 6 เท่าของค่าจ้างเดือนสุดท้ายอีก การที่โจทก์ช่วยทำงานด้านบัญชีต่อให้แล้วเสร็จจึงเป็นการทำงานที่มีลักษณะเป็นครั้งคราวเป็นการจร โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าขดเขยตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ข้อ 45 และไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเพราะเป็นค่าเสียหายในอนาคต ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยในฐานะประธานกรรมการผู้ชำระบัญชีขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นชำระเงินจำนวน43,260 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า องค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกา โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น สาขาภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2524 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นพนักงานประจำแผนก ทำหน้าที่พนักงานฝ่ายบัญชี ได้รับค่าจ้างเดือนละ 7,210 บาท ต่อมาองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นประสบภาวะขาดทุนและมีหนี้สินกว่า 1,000 ล้านบาท จึงได้มีพระราชกฤษฎีกายุบเลิกองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 สิทธิประโยชน์ของโจทก์และพนักงานเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำระบัญชีขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นและแต่งตั้งจำเลยเป็นประธานกรรมการผู้ชำระบัญชี องค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นจ่ายเงินบำเหน็จ 50,470 บาท และค่าชดเชยจำนวน 6 เท่าของอัตราค่าจ้างเดือนสุดท้ายเป็นเงิน 43,260 บาท ให้โจทก์ แต่องค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นยังคงว่าจ้างให้โจทก์และพนักงานบางส่วนทำงานในตำแหน่งเดิม โดยโจทก์ได้รับค่าจ้างเดือนละ 7,210 บาทเท่าเดิม กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน แต่ไม่ได้มีการทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือและไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้าง ทั้งนี้เพื่อให้โจทก์ช่วยเหลือในการชำระบัญชีขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นเท่านั้น โจทก์ทำงานต่อเนื่องมานับตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2542 นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีมีมติให้จ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่โจทก์และพนักงานทั้งหมด ซึ่งรวมพนักงานที่เลิกจ้างไปแล้วจำนวน 6 เท่าของอัตราค่าจ้างเดือนสุดท้าย โดยโจทก์ได้รับค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษดังกล่าวจำนวน 43,260 บาท ต่อมางานการชำระบัญชีซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์เสร็จสิ้นลงจำเลยในฐานะประธานกรรมการผู้ชำระบัญชีจึงมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2545

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิเคราะห์แล้ว วินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยหรือไม่ ? ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อมีพระราชกฤษฎีกายุบเลิกองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นโดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 และแม้มาตรา 4 จะให้ถือว่าองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชีก็ตาม แต่ผลของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ย่อมทำให้การประกอบกิจการตามปกติขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นสิ้นสุดลง ฐานะขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นยังคงตั้งอยู่เพื่อการชำระบัญชีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทั้งถือได้ว่าองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นได้เลิกจ้างพนักงานตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ข้อ 45 วรรคสอง แล้ว และมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานตามระเบียบดังกล่าวแล้ว ฉะนั้น การที่โจทก์ได้รับค่าชดเชยจำนวน 6 เท่าของอัตราค่าจ้างสุดท้ายเป็นเงิน 43,260 บาท และได้รับค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรีอีกเป็นเงิน 43,260 บาทนั้น ก็เป็นผลจากการที่องค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นได้เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากการยุบเลิกกิจการนั่นเอง การที่จำเลยในฐานะประธานกรรมการผู้ชำระบัญชีองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นจ้างโจทก์ให้ทำงานในตำแหน่งเดิมในอัตราค่าจ้างเท่าเดิม นับตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2542 เป็นต้นไปนั้น ก็เพื่อให้ช่วยเหลือในด้านการชำระบัญชีขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น มิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพนักงานบัญชีอันเป็นการประกอบกิจการตามปกติขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นอีกต่อไป ฉะนั้น จึงต้องถือว่านิติสัมพันธ์การจ้างงานดังกล่าวได้เกิดขึ้นใหม่ มิใช่โจทก์ยังคงมีฐานะเป็นพนักงานขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นตามสัญญาจ้างเดิมอีกต่อไป เมื่อโจทก์ทำงานตามสัญญาจ้างครั้งหลังเป็นเวลา 3 ปีเศษ จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 43,260 บาท คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9170/2546)

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น