บางครั้งการเลิกจ้างลูกจ้างแต่ละคน นายจ้างต้องคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากมีกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างไว้หลายฉบับ พลาดพลั้งไปอาจต้องจ่ายค่าเสียหายเพิ่มเติมอีก แต่อย่างไรก็ตาม ในการเลิกจ้างลูกจ้างโดยปกติมักมีสาเหตุที่รุนแรงจนไม่อาจให้ทำงานอยู่ต่อไปได้ เนื่องจากการเลิกจ้างลูกจ้างไปย่อมหมายถึงงานในส่วนนั้นต้องสะดุดลงและต้องแสวงหาลูกจ้างใหม่มาทำงานแทน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ๆ ส่วนสาเหตุในการเลิกจ้างก็อาจจะสืบเนื่องมาจากสาเหตุอย่างเดียวหรือหลายอย่างก็ได้ หากมีหลายสาเหตุก็ควรแจกแจงไว้ให้ชัดเจนในคำสั่งเลิกจ้าง เว้นแต่ในเรื่องที่อาจเป็นโทษแก่นายจ้างเองคือไปเข้าข้อห้ามของกฎหมาย หากฝ่ายลูกจ้างเห็นว่ามีสาเหตุจากเหตุอื่นอีกก็ต้องพิสูจน์ให้ปรากฏอย่างชัดแจ้ง จึงจะสามารถหักล้างหนังสือเลิกจ้างได้ ดังเช่นคดีที่จะนำมาให้ศึกษากันต่อไปนี้
เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำนวน 12 คนและนายจ้างเป็นจำเลยต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 13ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยที่ 13 เลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2545 ด้วยเหตุทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายเป็นกรณีร้ายแรง โจทก์ได้ยื่นคำร้องกล่าวหาต่อจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 12 ซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ว่า จำเลยที่ 13 เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ท. เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ขอให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์สั่งให้จำเลยที่ 13 รับโจทก์กลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงาน ต่อมาคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้มีคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 161/2545 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 13 เลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 และมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์เสีย โจทก์เห็นว่า จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 12 วินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่โดยอาศัยข้อเท็จจริงจากรายงานการใช้บัตรทางด่วน เลขที่ 0128030 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคา 2545 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2545 มาวินิจฉัยนั้นไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 13 เลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุที่โจทก์ดำเนินการฟ้องร้องจำเลยที่ 13 ให้จ่ายค่าล่วงเวลาแก่สมาชิกสหภาพแรงงานจำนวน 9 คน และคดีถึงที่สุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2545 ซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 13 จ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาพร้อมดอกเบี้ยแก่ลูกจ้าง 9 คนดังกล่าว ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2545 จำเลยที่ 13 ก็เลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ หลักฐานที่จำเลยที่ 13 อ้างในชั้นพิจารณาของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่อาจรับฟังได้ เนื่องจากการเบิกเงินจากการใช้ทางด่วน จะต้องมีผู้ตรวจสอบและอนุมัติ เหตุที่จำเลยที่ 13 นำมากล่าวอ้างก็เกิดมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว จำเลยที่ 13 ควรจะได้ทราบมานานแล้ว แต่เพิ่งยกเรื่องดังกล่าวมาอ้างเป็นการไม่ชอบ การใช้บัตรทางด่วนมีพนักงานใช้หลายคน แต่จำเลยที่ 13 มิได้นำหลักฐานการใช้บัตรของพนักงานทั้งหมดมาประกอบ เป็นการปกปิดข้อเท็จจริง บัตรทางด่วนมิได้อยู่ที่โจทก์ตลอดเวลา จำเลยที่ 13 บิดเบือนข้อเท็จจริงให้โจทก์รับผิดชอบการใช้บัตรทั้งหมด เป็นการไม่ชอบ คำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงคลาดเคลื่อนขัดต่อพยานหลักฐานและข้อกฎหมาย จำเลยที่ 13 กระทำการอันไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ขอให้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และบังคับให้จำเลยที่ 13 รับโจทก์กลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันที่เลิกจ้างจนถึงวันที่รับกลับเข้าทำงาน
จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 12 ให้การร่วมกันว่า เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องกล่าวหาจำเลยที่ 13 ว่ากระทำการอันไม่เป็นธรรมต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 12 ในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากโจทก์และจำเลยที่ 13 แล้ว ได้ความว่า โจทก์ทำหน้าที่พนักงานขับรถตู้รับส่งเอกสารและพัสดุภัณฑ์ รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดราชบุรี จังหวัดนครปฐม และบริเวณใกล้เคียง ในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ จำเลยที่ 13 จะมอบบัตรทางด่วน(TAG) เลขที่ 0128030 แก่โจทก์เพื่อใช้ผ่านทางด่วนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จากรายงานการใช้บัตรทางด่วนดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2545 ปรากฏว่ามีการใช้บัตรทางด่วนก่อนเวลาทำงานและหลังเวลาเลิกงานรวมทั้งในวันหยุดของโจทก์ อีกทั้งระหว่างเวลาการทำงานก็มีการใช้บัตรทางด่วนนอกเขตพื้นที่รับผิดชอบ และยังมีการเบิกจ่ายค่าผ่านทางด่วนตามใบเสร็จรับเงินค่าผ่านทางด่วน มีการเบิกจ่ายค่าผ่านทางด่วนนอกเส้นทางการปฏิบัติหน้าที่ และยังตรวจพบว่าโจทก์นำใบเสร็จรับเงินค่าผ่านทางด่วนในวันเดียวกันและด่านเดียวกันถึง 2 ใบ มาเบิกค่าผ่านทางซึ่งเป็นการเบิกค่าผ่านทางด่วนซ้ำซ้อน ย่อมทำให้จำเลยที่ 13 เข้าใจได้ว่าโจทก์กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ จึงเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าว มิใช่การเลิกจ้างเนื่องจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน แม้ว่าจำเลยที่ 13 เคยเลิกจ้างโจทก์และโยกย้ายหน้าที่การงานของโจทก์บ่อยครั้งซึ่งบ่งชี้ถึงปัญหาความขัดแย้งด้านแรงงานสัมพันธ์อย่างรุนแรง แต่การวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างโจทก์เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมนั้น จักต้องพิเคราะห์ถึงมูลเหตุแห่งการเลิกจ้างว่าเป็นไปตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 13 เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์นำบัตรทางด่วนไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว และโจทก์ได้เบิกค่าทางด่วนซ้ำซ้อน อีกทั้งมีการเบิกจ่ายค่าทางด่วนซึ่งอยู่นอกเส้นทางปกติ มิใช่เลิกจ้างเพราะเหตุการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานของโจทก์ จึงไม่ใช่การกระทำอันไม่เป็นธรรม คำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 12 ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 13 ให้การว่า ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2545 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2545 โจทก์ได้ใช้บัตรทางด่วนนอกเวลาทำงานและในวันหยุดของโจทก์ และได้นำไปใช้ผ่านด่านทางด่วนที่ไม่ใช่เขตพื้นที่ที่โจทก์รับผิดชอบหลายครั้ง โจทก์ยังได้นำใบเสร็จรับเงินค่าผ่านทางด่วนวันเดียวกันและด่านเดียวกันถึงสองใบมาเบิกเงินจากจำเลยที่ 13 ซึ่งเป็นการเบิกซ้ำซ้อน การกระทำของโจทก์มีเจตนาทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับกรทำงานกรณีร้ายแรง จำเลยที่ 13 จึงได้มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น มิได้เลิกจ้างด้วยเหตุที่โจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน โจทก์มิได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ท. ตามข้อกล่าวหา เพราะโจทก์มิใช่ลูกจ้างของบริษัท ท. จำกัด ตามข้อบังคับ แต่โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 13 ซึ่งเป็นคนละนิติบุคคลกัน โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่า จำเลยที่ 13 เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน คณะกรรมการแรงงานวินิจฉัยชี้ขาดชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ร้องกล่าวหาต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่า จำเลยที่ 13 เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ท. ซึ่งเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ดังนั้น การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงต้องพิจารณาถึงมูลเหตุจูงใจที่ทำให้จำเลยที่ 13 เลิกจ้างโจทก์ว่า จำเลยที่ 13 เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานหรือไม่ เมื่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์รับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 13 เลิกจ้างโจทก์โดยมีเหตุมาจากจำเลยที่ 13 ทราบจากรายงานการใช้บัตรทางด่วนว่ามีการใช้บัตรทางด่วนนอกเวลาทำงานปกติและในวันหยุดของโจทก์ และโจทก์นำใบเสร็จรับเงินค่าผ่านทางด่วนมาเบิกจ่ายซ้ำซ้อนโดยมีหลักฐานเบื้องต้นประจักษ์อยู่ ซึ่งหลักฐานดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 13 ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นข้ออ้างปิดบังเจตนาที่แท้จริงในการเลิกจ้างโจทก์ การที่จำเลยที่ 13 เลิกจ้างโจทก์จึงไม่ใช่เพราะเหตุที่โจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน และมิใช่เป็นการเลิกจ้างซึ่งเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 869/2548)
เป็นอย่างไรครับ........เรื่องนี้ความจริงมีประเด็นที่น่าสนใจมากว่า เจตนาแอบแฝงตามที่ลูกจ้างอ้างมาเป็นจริงเพียงใด ซึ่งอาจจะมีอยู่บ้าง แต่เนื่องจากลูกจ้างได้เพลี่ยงพล้ำไปกระทำความผิดเข้าข่ายทุจริต จึงทำให้นายจ้างมีช่องทางหรือเหตุที่จะอ้างในการเลิกจ้างครั้งนี้ได้ ดังนั้น ลูกจ้างจึงพึงระมัดระวังในการปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบระเบียบข้อบังคับและกฎหมายเพื่อมิให้เป็นช่องโหว่ เนื่องจากกฎหมายไม่สามารถให้ความคุ้มครองแก่ผู้กระทำความผิดได้
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น