รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เลิกจ้างเพราะจำเป็นต้องเลิกกิจการ

โดยปกติการเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำผิด มักจะถูกเข้าใจผิดว่า เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเสมอ ความจริงการพิจารณาเรื่องการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ศาลฎีกาได้วางแนวทางไว้ชัดเจนแล้วว่า ต้องพิจารณาถึงเหตุผลหรือความจำเป็นด้านนายจ้างด้วย หากมิใช่การกลั่นแกล้งเลิกจ้างลูกจ้าง ก็ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแต่บางกรณีอาจเป็นปัญหาที่วินิจฉัยค่อนข้างยากว่า เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เช่นในกรณีคดีที่จะนำมาให้ดูกันในสัปดาห์นี้ ลองคิดหาคำตอบไว้ก่อนก็ได้นะครับ แล้วจึงดูรายละเอียดข้างล่างนี้

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์จำนวน 63 คนซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทสุรามหาราษฎร จำกัด(มหาชน) ได้ยื่นฟ้องนายจ้างต่อศาลแรงงานกลางในทำนองเดียวกันว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งหมดเป็นลูกจ้าง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายตามบัญชีท้ายฟ้อง เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2543 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งหมดเพราะเหตุสัญญาเช่าโรงงานสิ้นสุดซึ่งมิใช่ความผิดของโจทก์ทั้งหมด การเลิกจ้างจึงไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ทั้งหมด ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยรับโจทก์ทั้งหมดกลับเข้าทำงานตามตำแหน่งเดิมและอัตราค่าจ้างเดิม หากไม่สามารถรับกลับเข้าทำงานได้ ให้จ่ายค่าเสียหายตามระยะเวลาการทำงานของโจทก์ทั้งหมด ปีละหนึ่งเดือนกับค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้ายทุกเดือนตามจำนวนระยะเวลาทำงานที่เหลือจนกว่าจะเกษียณอายุ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับสิทธิเป็นผู้เช่าโรงงานสุราบางยี่ขัน จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อผลิตและจำหน่ายสุรา จึงจ้างโจทก์ทั้งหมดเป็นลูกจ้างตามกำหนดอายุสัญญาเช่า โดยเริ่มสัญญาเช่าและสัญญาจ้างตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2523 ต่อมากระทรวงอุตสาหกรรมโดยมติคณะรัฐมนตรีประกาศขายกิจการโรงงานสุราบางยี่ขันโดยการเปิดประมูล มีนิติบุคคลรายอื่นประมูลซื้อได้และเริ่มประกอบกิจการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 จำเลยจึงต้องเลิกกิจการและคืนโรงงานที่เช่าแก่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อส่งมอบแก่ผู้ประมูลซื้อได้ และบอกเลิกสัญญาจ้างแก่พนักงานทุกคนรวมทั้งโจทก์ทั้งหมด โดยได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และเลิกจ้างพนักงานทุกคนทั้งโรงงาน มิได้กลั่นแกล้งเลิกจ้างจึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม ทั้งนี้จำเลยได้จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งหมดรับไปครบถ้วนแล้วตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งจ่ายสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น โบนัส โบนัสพิเศษ และเงินบำเหน็จตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งหมดยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่า เดิมโจทก์ทั้งหมดเป็นลูกจ้างของบริษัทสุรามหาคุณ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เช่าดำเนินกิจการโรงงานสุราบางยี่ขันจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม หลังจากสิ้นสุดสัญญาเช่ากับบริษัทดังกล่าว จำเลยเป็นผู้ประมูลเช่ารายใหม่ จึงได้ทำสัญญาเช่ากับกรมโรงงานอุตสาหกรรมและเข้าดำเนินกิจการโรงงานสุราบางยี่ขันในการผลิตและจำหน่ายสุรา รวมทั้งรับโอนพนักงานของบริษัทสุรามหาคุณ จำกัด ผู้เช่ารายเดิม รวมโจทก์ทั้งหมดด้วย มาเป็นลูกจ้างของจำเลยและให้ทำงานต่อเนื่องมานับตั้งแต่วันเริ่มสัญญาเช่าในวันที่ 1 มกราคม 2523 จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาเช่าในวันที่ 21 ธันวาคม 2542 ตามสัญญาเช่าและสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรมผู้ให้เช่า กับจำเลยซึ่งเดิมใช้ชื่อว่าบริษัทสุรามหาชน จำกัด ผู้เช่า โจทก์ทั้งหมดได้รับสิทธิประโยชน์ตามสัญญาเช่าข้อ 52 และข้อ 53 ทุกประการ หลังจากสิ้นสุดสัญญาเช่าผู้ประมูลซื้อกิจการไม่รับโอนโจทก์ทั้งหมดไปเป็นลูกจ้าง จำเลยจึงจ่ายเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 90 วัน แก่โจทก์ทั้งหมด และโจทก์ทั้งหมดได้รับค่าชดเชยครบถ้วนตามกฎหมายรวมทั้งโบนัส โบนัสพิเศษ และเงินบำเหน็จตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยจากจำเลยแล้ว มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหมดว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งหมดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า สาเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งหมดเนื่องจากสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันระหว่างจำเลยกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมสิ้นสุดลง เป็นเหตุให้ใบอนุญาตการผลิตและจำหน่ายสุราของจำเลยสิ้นสุดไปด้วย จำเลยไม่สามารถประกอบธุรกิจดังกล่าวต่อไปได้ จึงต้องเลิกกิจการและส่งมอบโรงงานคืนแก่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อส่งมอบแก่ผู้ประมูลซื้อกิจการ เดิมโจทก์ทั้งหมดเป็นลูกจ้างของบริษัทสุรามหาคุณ จำกัด ซึ่งจำเลยรับโอนมาเป็นลูกจ้างเมื่อประมูลการเช่ากิจการโรงงานสุราบางยี่ขันได้ โจทก์ทั้งหมดจึงทราบอยู่แล้วว่า เมื่อสัญญาเช่าของจำเลยสิ้นสุดลง จะต้องมีการโอนพนักงานต่อไปยังผู้ดำเนินกิจการรายใหม่ดังที่เคยปฏิบัติมา ทั้งก่อนสิ้นสุดสัญญาเช่าจำเลยได้ออกประกาศเรื่องการเลิกจ้างพนักงานและแจ้งสิทธิประโยชน์ของพนักงานเมื่อสิ้นสุดการเช่าแล้ว โดยประกาศ ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2542 ระบุว่าเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 ซึ่งมีระยะเวลากว่า 1 เดือน อันเป็นการบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญาเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 582 แล้ว ปัญหาว่าการตกลงว่าจ้างโจทก์ทั้งหมดจะมีกำหนดระยะเวลาแน่นอนหรือไม่จึงมิใช่ข้อสาระสำคัญ ที่โจทก์ทั้งหมดอุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่า การตกลงว่าจ้างโจทก์ทั้งหมดไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย

ส่วนข้อที่โจทก์ทั้งหมดอุทธรณ์ว่า เมื่อผู้ประมูลซื้อกิจการไม่รับโอนโจทก์ทั้งหมดไปเป็นลูกจ้าง โจทก์ทั้งหมดจึงยังคงเป็นลูกจ้างของจำเลยต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 วรรคแรก นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า เมื่อจำเลยบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งหมดแล้ว โจทก์ทั้งหมดจึงไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยอีกต่อไป นอกจากนี้ยังปรากฏด้วยว่า การเลิกจ้างครั้งนี้เป็นการเลิกจ้างพนักงานของจำเลยทุกคนเนื่องจากความจำเป็นที่จำเลยต้องเลิกกิจการ ไม่เป็นการเลือกปฏิบัติหรือมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งหมด ทั้งจำเลยยังได้จ่ายค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์ที่โจทก์ทั้งหมดพึงได้รับตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยไปจนครบถ้วน และโจทก์ทั้งหมดยังได้รับเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 90 วัน จากผู้ประมูลซื้อกิจการซึ่งมิได้รับโอนโจทก์ทั้งหมดไปเป็นลูกจ้างแล้วด้วย กรณีจึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหมดฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6158 - 6220/2546)

เป็นอย่างไรบ้างครับ........คุณคิดถูกต้องตรงกับคำวินิจฉัยของศาลฎีกาไหม ? หลายท่านคงตอบถูก แต่อีกหลายท่านอาจจะยังสงสัยอยู่ แนววินิจฉัยของศาลฎีกามีอยู่ว่า แม้กรณีนี้ลูกจ้างจะไม่ได้กระทำความผิดอะไร แต่ด้านนายจ้างมีความจำเป็นเนื่องจากต้องเลิกกิจการ ไม่สามารถประกอบกิจการต่อไปได้ และในการเลิกจ้างลูกจ้างก็ได้กระทำกับลูกจ้างทุกคน ไม่มีการเลือกปฏิบัติหรือมีเจตนากลั่นแกล้งลูกจ้างรายใด อีกทั้งนายจ้างยังได้จ่ายเงินและผลประโยชน์ต่าง ๆ ให้แก่ลูกจ้างครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น