เนื่องจากความจำเป็นด้านการครองชีพ จึงทำให้หลายคนที่ต้องทำงานหลายแห่ง เพื่อให้มีรายได้เพียงพอต่อการใช้จ่ายของครอบครัว ซึ่งอาจเป็นการทำงานประเภทประจำหรือประเภทชั่วคราว(Part time) ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการที่มีเงินเดือนค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับภาคเอกชน จึงจำเป็นที่จะต้องแสวงหารายได้พิเศษที่ถูกทาง ปัญหาที่เกิดขึ้นคือข้าราชการดังกล่าวจะถือเป็นลูกจ้างหรือไม่ ? ลองหาคำตอบจากคดีข้างล่างนี้นะครับ
เรื่องเกิดขึ้นเนื่องจากนายจ้างซึ่งเป็นนิติบุคคลสองแห่งได้ยื่นฟ้องสำนักงานประกันสังคมต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์ทั้งสองเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชน เดิมโจทก์ที่ 1 ประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชนในนามโรงพยาบาล พ. ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 โจทก์ที่ 1 ได้หยุดกิจการชั่วคราวและโอนกิจการพร้อมทรัพย์สินรวมทั้งลูกจ้างทั้งหมดให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 ได้ประกอบกิจการในนามของโรงพยาบาล พ. ต่อมา ครั้นวันที่ 27 กันยายน 2544 สำนักงานประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรี ได้มีคำสั่งที่ พบ 0030/6378 ลงวันที่ 27 กันยายน 2544 แจ้งให้โจทก์ที่ 1 จ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนประจำปี 2542 เพิ่มเติมอีก 5,565 บาท และจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมประจำปี 2542 จำนวน 177,704 บาท พร้อมเงินเพิ่ม โจทก์ทั้งสองไม่เห็นด้วยจึงอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยที่ 1175 – 1178/2545 ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง คำสั่งของจำเลยทั้งสองและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ไม่ถูกต้อง เพราะพยาบาลนอกเวลา(Part time) เป็นลูกจ้างที่จ้างไว้ทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวตามพระราชกฤษฎีกากำหนดลูกจ้างตามมาตรา 4(6) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 พ.ศ. 2534 มาตรา 3(4) ไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เนื่องจากพยาบาลนอกเวลาไม่มีวันหยุดวันลา ไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา จะได้รับค่าจ้างก็ต่อเมื่อทำงานให้แก่โรงพยาบาล พยาบาลนอกเวลาเป็นผู้กำหนดวันเวลาทำงานเอง หากจะหยุดงานก็ทำได้ตามความพอใจไม่ต้องเขียนใบลา โจทก์ทั้งสองไม่สามารถสั่งให้ทำงานต่อไปได้ การทำงานของพยาบาลนอกเวลาไม่ต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ของพยาบาลนอกเวลากับโจทก์ทั้งสองจะสิ้นสุดเมื่อสิ้นสุดการจ้างแต่ละครั้ง แล้วเริ่มต้นใหม่เมื่อพยาบาลนอกเวลาขอทำงานใหม่และโจทก์ทั้งสองตกลงให้ทำงาน พยาบาลนอกเวลาไม่ต้องทำงานภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาและไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์ทั้งสอง ไม่มีสวัสดิการเหมือนลูกจ้างทั่วไป ทั้งพยาบาลนอกเวลาของโจทก์ทั้งสองในช่วงปี 2541 และ 2542 เป็นข้าราชการที่ทำงานปกติให้แก่ทางราชการ มีสวัสดิการของข้าราชการพลเรือนตามที่กฎหมายกำหนด มาทำงานนอกเวลาปกติให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยแจ้งความประสงค์ขอใช้สิทธิสวัสดิการของข้าราชการพลเรือนและไม่ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายประกันสังคม เพราะจะทำให้ถูกหักค่าจ้างนำส่งเป็นเงินสมทบ อันเป็นการซ้ำซ้อน โจทก์ทั้งสองและพยาบาลนอกเวลาจึงไม่มีหน้าที่ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนและไม่ต้องนำส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสองและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่สั่งให้โจทก์ทั้งสองจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนตามฟ้อง ให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายประกันสังคมและกฎหมายเงินทดแทน
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทั้งสองจ้างบุคคลภายนอกเข้าทำงาน 3 ประเภท ได้แก่ ฝ่ายการแพทย์ ฝ่ายการพยาบาลและฝ่ายการบริหาร โดยฝ่ายการพยาบาลมีพยาบาล 2 ประเภท คือพยาบาลเต็มเวลา(Full time) ซึ่งปฏิบัติงานในช่วงเวลาปกติระหว่าง 8 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา ได้รับค่าจ้างรายเดือน กับพยาบาลนอกเวลา (Part time) ซึ่งปฏิบัติงานในช่วงเวลาเย็นและกลางคืน ได้รับค่าตอบแทนในการทำงานเป็นรายชั่วโมง การเข้าทำงานของพยาบาลนอกเวลาเริ่มต้นด้วยการกรอกใบสมัครตามแบบฟอร์มของโจทก์ที่ 1และตกลงกับโจทก์ทั้งสองว่าสามารถปฏิบัติงานได้ในวันเวลาใดบ้าง โดยโจทก์ทั้งสองจะจัดทำตารางเวรการปฏิบัติงานในแต่ละเดือนแจ้งเป็นหนังสือให้พยาบาลนอกเวลาทราบภายในวันที่ 25 ของเดือน ก่อนเดือนที่จะปฏิบัติงาน พยาบาลนอกเวลาจะพิจารณาว่าตนสามารถปฏิบัติงานตามตารางเวลาทำงานนั้นได้หรือไม่ แล้วตอบให้โจทก์ทั้งสองทราบในหนังสือดังกล่าว วันใดติดธุระหรือไม่สามารถปฏิบัติงานได้พยาบาลนอกเวลาต้องแจ้งให้โจทก์ทั้งสองทราบ หากไม่แจ้ง โจทก์ทั้งสองมีสิทธิที่จะสั่งหยุดงานหรือห้ามไม่ให้ขึ้นเวรทำงานในเวรถัดไปได้ และโจทก์ทั้งสองมีสวัสดิการให้ส่วนลดในการใช้บริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลของโจทก์ทั้งสองแก่พยาบาลนอกเวลาและครอบครัวร้อยละ 30 ความในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 4(1) หมายถึง ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวรายวันและลูกจ้างชั่วคราวรายชั่วโมงของหน่วยราชการที่ทำงานให้แก่ส่วนราชการเท่านั้น มิได้รวมถึงข้าราชการหรือลูกจ้างของหน่วยราชการที่ใช้เวลานอกเวลาราชการทำงานให้แก่นายจ้างอื่นซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ด้วย และตามพระราชกฤษฎีกากำหนดลูกจ้างตามมาตรา 4(6) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 พ.ศ. 2534 มาตรา 3(4) หมายถึง ลูกจ้างที่นายจ้างได้จ้างไว้ทำงานเป็นครั้งคราวนอกเหนือจากงานปกติหรืองานหลักที่นายจ้างประกอบกิจการอยู่ แต่เป็นงานที่นายจ้างทำเสริมเป็นการชั่วคราวหรือมีช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น งานพยาบาลนอกเวลาเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการหลักของโจทก์ทั้งสอง จึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นไม่ให้ใช้พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 บังคับ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 4(6) โจทก์ทั้งสองจ้างพยาบาลนอกเวลามาปฏิบัติหน้าที่เป็นพยาบาลเข้าเวรทำงานในโรงพยาบาลของโจทก์ทั้งสองโดยให้ค่าตอบแทนเป็นรายชั่วโมง พยาบาลนอกเวลาต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวันเวลาที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้า หากไม่มาทำงานต้องแจ้งให้โจทก์ทั้งสองทราบล่วงหน้า ถ้าไม่แจ้ง โจทก์ทั้งสองมีสิทธิสั่งหยุดงานหรือห้ามขึ้นเวรทำงานในเวรถัดไปได้ ข้อตกลงดังกล่าวมีสภาพบังคับทำให้โจทก์ทั้งสองมีอำนาจบังคับบัญชา และในทางปฏิบัติเมื่อพยาบาลนอกเวลาปฏิบัติหน้าที่กับแพทย์คนใดก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์คนนั้น ทั้งต้องปฏิบัติตามระเบียบของโรงพยาบาลเช่นเดียวกับพยาบาลอื่น หากฝ่าฝืนก็มีโทษ เช่นแพทย์อาจตักเตือนหรือรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาเลิกจ้างได้ พยาบาลนอกเวลาหาได้มีอิสระที่จะกระทำการหรือไม่กระทำการใดได้ตามอำเภอใจไม่ และลักษณะงานของพยาบาลนอกเวลามุ่งใช้แรงงานมากกว่าคำนึงถึงผลสำเร็จของงาน โจทก์ทั้งสองจึงเป็นนายจ้างที่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน คำสั่งของจำเลยทั้งสองและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์จึงชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ทั้งสองเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชน ให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนในนามของโรงพยาบาล พ. โดยว่าจ้างบุคคลภายนอกเข้าทำงานเป็นลูกจ้างหลายฝ่าย เฉพาะฝ่ายการพยาบาลมีลูกจ้างอยู่ 2 ประเภท คือพยาบาลเต็มเวลา แลปฏิบัติงานในช่วงเวลาปกติระหว่าง 8 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา กับพยาบาลนอกเวลา ปฏิบัติงานในช่วงเวลาเย็นและกลางคืน พยาบาลนอกเวลาที่โจทก์ทั้งสองจ้างทำงานนั้นเป็นข้าราชการประจำ มาทำงานให้โจทก์ทั้งสองนอกเวลาราชการ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองว่า พยาบาลนอกเวลาดังกล่าวเป็นข้าราชการตามความในมาตรา 4(1) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 หรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 4(1) บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้ไม่ให้ใช้บังคับแก่ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวรายวัน และลูกจ้างชั่วคราวรายชั่วโมงของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ยกเว้นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน โดยมิได้ให้ความหมายคำว่า “ข้าราชการ” ไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้ความหมายคำว่า “ข้าราชการ” ตามพจนานุกรมคือ คนที่ทำงานราชการตามทำเนียบผู้ปฏิบัติราชการในส่วนราชการ ซึ่งหมายถึงผู้ปฏิบัติราชการหรือทำงานในหน้าที่ราชการ สำหรับกรณีนี้พยาบาลนอกเวลาเป็นผู้ที่ทำงานให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนนอกเวลาราชการในฐานะลูกจ้างของโจทก์ทั้งสอง จึงไม่ใช่ข้าราชการตามความในมาตรา 4(1) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 พยาบาลนอกเวลาจึงเป็นลูกจ้างที่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ไม่ได้รับการยกเว้น โจทก์ทั้งสองจึงเป็นนายจ้างที่ต้องนำส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2548)
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น