รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ศาลแรงงานต้องรอผลคดีอาญาที่นายจ้างฟ้องลูกจ้างหรือไม่ ?

คดีอาญาบางเรื่องทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย เช่น คดีลักทรัพย์ คดียักยอกทรัพย์ คดีทำร้ายร่างกายเป็นต้น ซึ่งคดีที่ผู้เสียหายเรียกร้องทรัพย์คืนหรือเรียกค่าเสียหาย ทางกฎหมายเรียกว่า “คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา” ในการพิจารณาคดีของศาลเกี่ยวกับคดีแพ่ง ศาลจำต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้

แต่บางครั้งการที่จะพิจารณาว่าเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่ ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน ดังเช่นคดีข้างล่างนี้

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ 2 คน ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 จำเลยจ้างโจทก์ที่ 1 เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่ผู้จัดการโรงงาน ได้รับค่าจ้างเดือนละ 88,000 บาท และเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2538 จำเลยจ้างโจทก์ที่ 2 เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่ผู้จัดการทั่วไป ได้รับค่าจ้างเดือนละ 100,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 5 ของทุกเดือน เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 2 คน โดยอ้างว่าโจทก์ทั้ง 2 คนกระทำผิดฐานยักยอกและฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างซึ่งไม่เป็นความจริง และไม่ใช่ความผิดของโจทก์ทั้งสอง สาเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 2 คนเนื่องมาจากจำเลยเข้าใจว่า โจทก์ทั้ง 2 คน ให้เบาะแสแก่พนักงานตรวจคนเข้าเมืองไปจับกุมพนักงานในบริษัทซึ่งเป็นคนต่างด้าวและไม่มีใบอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย โจทก์ทั้ง 2 คน ไม่ได้กระทำความผิดตามที่จำเลยกล่าวหา และการเลิกจ้างนี้จำเลยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ทั้ง 2 คน ทำงานกับจำเลยมากว่า 3 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 180 วัน และมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 32 วัน นอกจากนี้จำเลยยังค้างจ่ายาค่าจ้างในเดือนมกราคม 2544 ให้แก่โจทก์ทั้ง 2 คน ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าชดเชย และค่าจ้างค้างจ่าย พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินค่าชดเชยและค่าจ้างค้างจ่าย นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า จำเลยจ้างโจทก์ที่ 1 เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2539 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2544 ในตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน มีหน้าที่ควบคุมดูแลพนักงานในโรงงาน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 44,000 บาท ไม่ใช่ 88,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นกรรมการคนหนึ่งของจำเลยมีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกับนาย ฉ. กรรมการอีกคนหนึ่ง มาอำนาจกระทำการแทนจำเลยได้ และโจทก์ที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลย ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2538 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2544 มีหน้าที่ควบคุมดูแลพนักงานของจำเลย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 47,500 บาท ไม่ใช่ 100,000 บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 2 คน เนื่องจากโจทก์ทั้ง 2 คนกระทำความผิดอาญา ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรง และกระทำการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต โจทก์ทั้ง 2 คน เป็นพี่น้องกัน เดิมจำเลยมีกรรมการ 4 คน คือ นาย ห. นาง ย. นาย ล. และโจทก์ที่ 2 โดยนาย ห.ผู้เดียวลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของจำเลย มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยได้ ต่อมาจำเลยเห็นว่าเกิดปัญหาทางด้านธุรกิจและจากการบริหารงานของกรรมการบริษัทจึงเปลี่ยนแปลงกรรมการจากเดิม คงเหลือโจทก์ที่ 2 และกรรมการเข้าใหม่ 2 คน คือ นาย ย. และนาย ฉ. โดยนาย ย. ผู้เดียวลงลายมือชื่อ หรือโจทก์ที่ 2 ลงลายมือชื่อร่วมกันกับนาย ฉ. มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยได้ การเปลี่ยนแปลงกรรมการดังกล่าวทำให้จำเลยทราบถึงการบริหารของกรรมการที่ไม่ชอบด้วยนโยบายของจำเลยและไม่ชอบด้วยกฎหมาย สร้างความไม่พอใจให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 กับพวกพยายามสร้างความเสียหายกับจำเลยตลอดมา เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2543 ถึงวันที่ 18 มกราคม 2544 จำเลยได้มอบหมายให้โจทก์ทั้ง 2 คนนำเงินโบนัสไปจ่ายให้แก่ลูกจ้างของจำเลย และโจทก์ทั้ง 2 คนได้รับเงินดังกล่าวจากจำเลยแล้ว แต่โจทก์ทั้ง 2 คนนำเงินเพียงบางส่วนไปจ่ายให้แก่ลูกจ้างของจำเลย เงินส่วนที่เหลือโจทก์ทั้ง 2 คน ได้เบียดบังยักยอกไปโดยทุจริต จำเลยเห็นว่า โจทก์ทั้ง 2 คนกระทำความผิดอาญา ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยและกระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จึงได้บอกเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 2 คน เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2544 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 และจำเลยได้ฟ้องโจทก์ทั้ง 2 คนเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 991/2544 ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร ในข้อหาว่าร่วมกันยักยอกทรัพย์คดีอยู่ในระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ทั้ง 2 คนไม่มีสิทธิเรียกร้องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยจากจำเลย ส่วนค่าจ้างของโจทก์ทั้ง 2 คนนั้น จำเลยจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 5 ของเดือน จำเลยพร้อมจะชำระเงินให้แก่โจทก์ทั้ง 2 คน แต่โจทก์ทั้ง 2 คนไม่มารับ โจทก์ทั้ง 2 คนจึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยของเงินค่าจ้างแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่โจทก์ทั้ง 2 คน พร้อมดอกเบี้ยโดยให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากค่าชดเชย และค่าจ้างค้างจ่ายของโจทก์ทั้ง 2 คน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ววินิจฉัยว่า

1. ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยได้ฟ้องโจทก์ทั้ง 2 คนเป็นคดีอาญาในข้อหาว่ายักยอกทรัพย์ ปรากฏตามคดีหมายเลขดำที่ 991/2544 ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีนี้ ศาลแรงงานกลางจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว ศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีนี้โดยไม่รอผลคดีอาญาดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า แม้จำเลยจะเพิ่งยกปัญหาข้อกฎหมายนี้ขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พ.ศ. 2522 มาตรา 31 คดีนี้โจทก์ทั้ง 2 คน ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 2 คนโดยที่โจทก์ทั้ง 2 คนไม่ได้กระทำความผิด ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์ทั้ง 2 คน อันเป็นคดีแรงงาน แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ว่าโจทก์ทั้ง 2 คนกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลยผู้เป็นนายจ้างในข้อหายักยอกทรัพย์ จำเลยได้ฟ้องโจทก์ทั้ง 2 คนเป็นคดีอาญาสำหรับการกระทำของโจทก์ทั้ง 2 คนดังกล่าวแล้วก็ตาม ก็หาทำให้คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไม่ ศาลแรงงานกลางมีอำนาจพิพากษาคดีนี้ได้โดยไม่จำต้องรอผลคำพิพากษาในคดีส่วนอาญา ดังที่จำเลยอุทธรณ์ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

2. ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยในเงินค่าจ้างค้างจ่ายอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีแก่โจทก์ทั้ง 2 คนเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่นายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยให้แก่ลุกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปี เมื่อจำเลยผิดนัดไม่จ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ทั้ง 2 คน จำเลยจำต้องจ่ายดอกเบี้ยในเงินค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์ทั้ง 2 คนในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีตามบทบัญญัติข้างต้น หาใช่ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีดังที่จำเลยอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางชอบแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9322 - 9323/2546)

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น