รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ยกเลิกการอนุมัติการลาออกได้เพียงใด ?

บางครั้งเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็เป็นปัญหาให้โต้แย้งกันถึงศาลฎีกาได้เหมือนกัน ดังตัวอย่างที่จะนำมาเสนอในครั้งนี้ ปกติเรามักจะได้ยินหรือพบเห็นแต่เรื่องที่ลูกจ้างขอลาออกแล้วต่อมาเกิดเปลี่ยนใจขอยกเลิกการลาออก หรือนายจ้างอนุมัติให้ลูกจ้างลาออกก่อนครบกำหนดที่ลูกจ้างขอลาออก แต่เรื่องข้างล่างนี้เป็นกรณีที่นายจ้างอนุมัติให้ลูกจ้างลาออกไปแล้ว ต่อมานายจ้างได้มีคำสั่งยกเลิกการอนุมัติการลาออก และมีคำสั่งใหม่ให้เลิกจ้างลูกจ้าง จึงเกิดปัญหาฟ้องร้องกันขึ้นมา

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยมา 19 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 16,065 บาท ต่อมาเมื่อปลายปี 2542 จำเลยจัดให้มีโครงการร่วมใจจากเพื่อขนาดองค์กรที่เหมาะสม เพื่อชักชวนให้พนักงานลาออกโดยจะได้เงินพิเศษอีก 30 เท่าของเงินเดือน โจทก์สมัครเข้าร่วมโครงการและได้รับอนุมัติให้ลาออกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 โดยโจทก์ได้ชำระเงินที่ติดค้าจำนวน 65,070.35 บาท เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2543 เพื่อจะได้รับเงินเต็มจำนวนจากจำเลย จำเลยจ่ายเงินชดเชยพิเศษโอนเงินเข้าบัญชีโจทก์เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2543 จำนวน 574,123.13 บาท และกำลังจะจ่ายเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพให้โจทก์เป็นงวดที่ 2 แต่ต่อมาจำเลยออกคำสั่งที่ ธ. 173/2543 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2543 ยกเลิกการลาออกของโจทก์โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 มกราคม 2543 อ้างว่าโจทก์ยักยอกเงินเท่าที่ตรวจพบเบื้องต้นระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนธันวาคม 2542 เป็นเงิน 65,070.35 บาท จำเลยจึงสั่งย้ายและสั่งพักงานโจทก์กับงดจ่ายเงินเดือน เงินช่วยเหลือ ค่าครองชีพ และเงินอื่นใดที่พึงได้รับจากจำเลย คำสั่งย้อนหลังดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 ต่อมาจำเลยมีคำสั่งที่ ธ. 315/2543 ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2543 ปลดโจทก์ออกจากงานอ้างว่าโจทก์ทุจริตเบิกเงินสดค่าใช้จ่ายของศูนย์ธุรกิจสะพานขาวไปใช้หมุนเวียนส่วนตัวก่อนนำไปชำระให้คู่ค้าภายหลังเป็นเงิน 221,140.77 บาท ทั้งที่เงินจำนวนดังกล่าวไม่ขาดบัญชีเพราะโจทก์ได้จัดการชำระเสร็จเรียบร้อยก่อนที่โจทก์ลาออกตามโครงการร่วมใจฯ จึงไม่ใช่การกระทำผิดวินัยร้ายแรงเพราะโจทก์ไม่มีเจตนาทุจริต ต่อมาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 จำเลยมีคำสั่งลับเฉพาะที่ พ. 7897/2543 กรณีเงินสดของบริษัท บ. ขาดบัญชีเป็นเงิน 41,500 บาทโดยไม่สามารถระบุได้ว่าขาดหายไปเพราะเหตุใด หากแต่เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อไม่ตรวจนับเงินให้ดีโดยมีผู้ไป รับเงิน 2 คน คือนาง ส. กับโจทก์ แต่นาง ส. ลาออกจากงานแล้ว จำเลยจึงลงโทษโจทก์แต่เพียงผู้เดียวโดยตัดเงินเดือน 15 เปอร์เซ็นต์ มีกำหนด 6 เดือน กับให้นาง ส. กับโจทก์คืนเงินจำนวน 41,500 บาทแก่จำเลย ทั้งที่เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2539 ก่อนที่โจทก์จะลาออก แต่เพิ่งมาลงโทษ โดยไม่ได้ระบุว่าให้ลงโทษตั้งแต่เดือนไหน เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยชำระเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพ ค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยส่งมอบของที่ระลึกซึ่งเป็นพระรอดเลี่ยมทอง 1 องค์ มูลค่า 1,000,000 บาท รวมทั้งให้ยกเลิกคำสั่งต่าง ๆ ที่ลงโทษโจทก์

จำเลยให้การว่า เมื่อปี 2542 จำเลยได้ปรับเปลี่ยนองค์กรงานเพื่อปรับขนาดองค์กรให้เหมาะสมกับระบบงานใหม่ ใช้ชื่อโครงการร่วมใจจากเพื่อขนาดองค์กรที่เหมาะสม เป็นการให้พนักงานลาออกโดยมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนในการเข้าร่วมโครงการ ได้แก่เงินตอบแทนพิเศษเท่ากับ 24 เท่าของอัตราเงินเดือนสุดท้าย เงินชดเชยไม่เกิน 6 เท่าของเงินเดือนรวมเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ เงินตอบแทนพิเศษในการทำงานกับจำเลยมานาน กับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โจทก์ได้สมัครเข้าร่วมโครงการร่วมใจจากเพื่อขนาดองค์กรที่เหมาะสมและได้รับอนุญาตให้ลาออก ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2543 ศูนย์ธุรกิจสะพานขาวตรวจพบว่า โจทก์ได้ทำรายการเบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เป็นเงินสดแล้วไม่นำไปชำระให้ คู่ค้าทันที แต่กลับนำไปใช้เป็นส่วนตัวก่อนเป็นเวลา 3 – 61 วัน ได้ปฏิบัติเช่นนี้มาเป็นเวลานานกว่า 1 ปีโดยล่าสุดเมื่อระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนธันวาคม 2542 โจทก์ได้เบิกเงินสดรวม 65,070.35 บาท แล้วไม่นำไปชำระให้คู่ค้าของจำเลย นอกจากนี้ยังปฏิบัติผิดระเบียบเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายของจำเลยในกรณีที่คู่ค้าไม่อาจออกใบเสร็จรับเงินให้ได้ก่อน จำเลยจะจ่ายเงินเป็นแคชเชียร์เช็ค แต่โจทก์กลับทำรายการเบิกเงินสดให้ ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2543 โจทก์ยอมรับว่าได้นำเงินสดที่เบิกไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของตนเองและครอบครัวจริง และในวันนั้นโจทก์ก็ชำระเงินคืนให้คู่ค้าของจำเลยครบถ้วน จำเลยจึงสั่งให้มีการตรวจสอบและสั่งระงับการจ่ายเงินที่โจทก์พึงได้จากโครงการเพื่อรอผลการตรวจสอบกับได้มีคำสั่งที่ ธ. 173/2543 ยกเลิกการอนุมัติให้โจทก์ลาออกตามโครงการและย้ายโจทก์ไปดำรงตำแหน่งพนักงานระดับ 5 ฝ่ายการพนักงาน พร้อมกับพักงานไว้ก่อนเพื่อรอผลการตรวจสอบ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 ผลการตรวจสอบปรากฏว่า โจทก์เบิกเงินค่าใช้จ่ายไปใช้จ่ายหมุนเวียนส่วนตัว แล้วนำไปชำระคู่ค้าล่าช้าในปี 2542 รวม 50 ครั้ง ซึ่งเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ผิดวินัยอย่างร้ายแรง เป็นความผิดที่มีโทษถึงไล่ออก แต่เนื่องจากโจทก์รับสารภาพและนำเงินไปชำระครบถ้วนแล้ว จึงให้ลงโทษขั้นปลดออกจากการเป็นพนักงานโดยงดจ่ายเงินพึงได้ใด ๆ ทั้งสิ้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินชดเชย เงินทุนสำรองเลี้ยงชีพและไม่มีสิทธิได้รับพระรอดเลี่ยมทองจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตอบแทนพิเศษและเงินชดเชย เงินทุนสำรองเลี้ยงชีพ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินตอบแทนพิเศษและเงินชดเชยกับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยมอบของที่ระลึกเป็นพระรอดเลี่ยมทอง 1 องค์ หากส่งมอบไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,500 บาท

จำเลยอุทธรณ์คัดค้านต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิจารณาว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า เมื่อโจทก์ได้มีคำเสนอโดยสมัครเข้าร่วมโครงการร่วมใจจากเพื่อขนาดองค์กรที่เหมาะสมกับจำเลยแล้ว ฝ่ายการพนักงานของจำเลยเป็นผู้มีหน้าที่พิจารณานำเสนอต่อกรรมการผู้จัดการใหญ่ให้อนุมัติโดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์และคุณสมบัติซึ่งกำหนดไว้ในโครงการร่วมใจจากเพื่อขนาดองค์กรที่เหมาะสม จำเลยไม่ทราบข้อเท็จจริงในพฤติการณ์ของโจทก์ซึ่งเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หากจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยจะไม่อนุมัติให้โจทก์ลาออกอย่างแน่นอน การพิจารณาอนุมัติให้โจทก์ลาออกเป็นการที่จำเลยสนองตอบโดยไม่รู้สาระสำคัญในข้อเท็จจริงที่อนุมัติให้โจทก์ลาออก เมื่อจำเลยทราบการทุจริตของโจทก์จึงได้มีคำสั่งยกเลิกการอนุมัติให้ลาออก ระงับการจ่ายเงินค่าตอบแทนตามโครงการดังกล่าว ถือได้ว่าการสนองรับของจำเลยต่อคำเสนอของโจทก์ยังไม่มีการปฏิบัติครบถ้วนจนเกิดสัญญาผูกพันระหว่างโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า เมื่อจำเลยจัดโครงการร่วมใจจากเพื่อขนาดองค์กรที่เหมาะสมเพื่อต้องการลดจำนวนพนักงานโดยได้ออกหนังสือชักชวนให้พนักงานลาออกโดยสมัครใจเพื่อรับเงินตอบแทนพิเศษและเงินอื่นตามที่ระบุไว้ในโครงการ โจทก์สมัครเข้าร่วมโครงการดังกล่าวและจำเลยอนุมัติให้โจทก์ลาออกและได้รับเงินตอบแทนพิเศษและเงินอื่นตามที่ระบุไว้ในโครงการได้โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมานั้น เป็นกรณีที่โจทก์มีคำเสนอและจำเลยมีคำสนองอันเป็นการเลิกสัญญาจ้างโดยความตกลงของคู่สัญญาซึ่งมีผลนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงโดยจ่ายเงินตอบแทนพิเศษและเงินอื่นตามที่ระบุไว้ในโครงการดังกล่าว ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยทราบการทุจริตต่อหน้าที่ของโจทก์จึงมีคำสั่งยกเลิกการอนุมัติซึ่งมีลักษณะเป็นการยกเลิกข้อตกลงเลิกสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยนั้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในคดีนี้ให้สิทธิจำเลยกระทำได้เช่นนั้น และข้อที่จำเลยอ้างว่าจำเลยสนองตอบไปโดยไม่รู้สาระสำคัญในข้อเท็จจริงที่อนุมัติให้โจทก์ลาออกก็มิได้มีบทกฎหมายใดให้จำเลยมีสิทธิยกเลิกข้อตกลงดังกล่าวได้ อุทธรณ์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4923/2546)

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น