รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความรับผิดของผู้ค้ำประกันการทำงาน

คุณเคยค้ำประกันใครเพื่อให้เข้าทำงานหรือไม่ ? และคุณรู้หรือไม่ว่า ในการค้ำประกันดังกล่าวหากลูกจ้างก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง คุณจะต้องรับผิดชอบอย่างไรบ้าง ? หากยังไม่ทราบคุณต้องอ่านเรื่องข้างล่างนี้

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจได้ยื่นฟ้องพนักงาน 5 คนเป็นจำเลยต่อศาลแรงงานกลางว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของโจทก์ ตำแหน่งพนักงานบัญชี แผนกบัญชีและการเงิน การไฟฟ้าอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เบียดบังเงินของโจทก์ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว และรับเงินจากลูกค้าผู้ใช้ไฟฟ้าแล้วไม่ลงบัญชี เป็นเงิน 505,423.59 บาท จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 นำเงินมาใช้คืนบางส่วน ยังคงค้างอีก 436,703.14 บาท คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาแล้วให้จำเลยทั้งสองรับผิดชดใช้เงินคนละ 218,365.07 บาท ต่อมาภายหลังโจทก์ตรวจหลักฐานพบว่ามีค่าเสียหายเพิ่มขึ้นอีกรวมเป็นเงิน 447,830.14 บาท โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้คนละ 223,915.07 บาท ต่อมาจำเลยที่ 2 นำเงินไปชดใช้บางส่วนคงค้างชำระ 167,782.14 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน 223,915.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2543 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 25,190.45 บาท รวมเป็นเงิน 249,105.51 บาท และให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินจำนวน 167,782.14 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2543 ถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 18,875.48 บาท รวมเป็นเงิน 186,657.62 บาท แก่โจทก์โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้การด้วยวาจารับว่า เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง จำเลยที่ 3 ไม่ยื่นคำให้การ จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ให้การว่า สัญญาค้ำประกันขาดอายุความ เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเกิน 10ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/9 และมาตรา 193/30 ประกอบมาตรา 368 และสัญญาค้ำประกันเป็นโมฆะขัดต่อมาตรา 699 และมาตรา 150 ผู้บริหารประมาทเลินเล่อร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นการละเมิดผู้ทำละเมิดต้องร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 420 และมาตรา 432 โจทก์ต้องใช้สิทธิเรียกร้องบังคับชำระหนี้จากการละเมิดให้เสร็จสิ้นก่อน หลังจากนั้นจึงจะใช้สิทธิเรียกร้องจากผู้ค้ำประกันได้ตามมาตรา 687, มาตรา 688 และมาตรา 689 ขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิจารณาและพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 223,915.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 167,782.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะได้ชำระเสร็จให้แก่โจทก์

จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ข้อแรกว่า หนี้ที่เกิดจากการที่จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์นั้นเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใด และคดีนี้ขาดอายุความหรือไม่ โดยจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2532 ระบุว่า ผู้ค้ำประกันยินยอมรับผิดไม่ว่าในหน้าที่การงานหรือจะเป็นกรณีใด ๆ ก็ตาม จึงเป็นความรับผิดต่อมูลหนี้ในอนาคตทุกประเภทอันบ่งชี้ความรับผิดของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ต่อสิทธิเรียกร้องของโจทก์โดยชัดแจ้งว่า โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ทันทีนับแต่วันทำสัญญาค้ำประกันเป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 อายุความตามสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 จึงต้องนับตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2532 มิใช่นับตั้งแต่วันที่โจทก์ได้รับความเสียหายและโจทก์ทวงถามให้จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/13 ซึ่งหนี้ตามสัญญาค้ำประกันการทำงานไม่มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/10 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2545 ซึ่งพ้นกำหนด 10 ปี จึงขาดอายุความ

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องเป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ที่จำเลยที่ 2 ยักยอกไป อันเป็นการรับผิดในมูลหนี้ละเมิด จึงถือว่าจำเลยที่ 2 ผิดนัดนับแต่วันที่ทำละเมิดตามมาตรา 206 ทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ผิดนัด ตามมาตรา 686 อันเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ และสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อผู้ค้ำประกันกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปื ตามมาตรา 193/30 คดีนี้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า สำนักงานตรวจสอบภายในของโจทก์ได้ตรวจสอบบัญชีของสำนักงานการไฟฟ้าของโจทก์ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเขียงใหม่ พบว่ามีการทุจริตยักยอกเงินค่ากระแสไฟฟ้าที่เก็บจากประชาชนจำนวนหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2541 ซึ่งจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายครึ่งหนึ่ง โดยโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2544 ดังนี้ เมื่อมีการยักยอกเงินค่ากระแสไฟฟ้าไปรวมทั้งจำเลยที่ 2 ตกเป็นผู้ผิดนัดต้องชำระค่าเสียหายนับแต่วันทำละเมิดคือปี 2541 เป็นต้นไป อายุความที่จะฟ้องร้องจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ผู้ค้ำประกันจึงเริ่มนับแต่เมื่อนั้น โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลแรงงานกลางเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2545 ยังไม่พ้นกำหนดเวลา 10 ปี คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ข้อ 2 ว่า โจทก์จะบังคับให้จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ชำระหนี้อันเกิดจากการค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 ได้หรือไม่ โดยจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 อุทธรณ์ว่า มูลหนี้จากการละเมิดด้วยการยักยอกเงินค่ากระแสไฟฟ้า คดีนี้มีผู้ต้องร่วมรับผิดหลายคน ซึ่งต้องรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วม โจทก์ต้องบังคับให้ผู้ร่วมรับผิดทุกคนให้ชำระหนี้ให้ครบถ้วนทุกคนก่อน จึงจะมีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตและมิได้เกี่ยวข้องกับการทำละเมิดให้รับผิด

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ นับแต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดเป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 มิจำต้องบังคับจากผู้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดทุกคนก่อนแต่อย่างใด โจทก์จึงฟ้องร้องต่อศาลขอให้บังคับได้ ส่วนที่จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 อุทธรณ์ข้อ 3 ว่า มูลหนี้ของโจทก์เป็นมูลหนี้อันเกิดจากการกระทำละเมิด โจทก์ต้องใช้สิทธิบังคับชำระหนี้จากผู้ทำละเมิดทั้งผู้ฉ้อฉลและผู้ประมาทเลินเล่อจนปรากฏความรับผิดของจำเลยที่ 2 ให้ชัดเจนเสียก่อน จึงจะมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากการค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 ได้ เมื่อโจทก์ไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวอย่างเป็นธรรมแล้ว จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 ประกอบมาตรา 150 และมาตรา 173 นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 866/2548)

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น