“ไม่เผลอ ไม่แผ่ว ยาเสพติดไม่โผล่”
ขออนุญาตนำสโลแกนต่อต้านยาเสพติดของสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส) มาใช้ เนื่องจากยาเสพติดเป็นสิ่งที่เลวร้ายในสังคม ทำให้คนในสังคมอ่อนแอลง สุขภาพทรุดโทรม เป็นการบ่อนทำลายประเทศชาติ การป้องกันและปราบปรามต้องกระทำอย่างต่อเนื่องและจริงจังโดยทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือร่วมใจกันตลอดเวลา แม้ในวงการใช้แรงงานก็เช่นเดียวกัน นายจ้างและลูกจ้างต้องระมัดระวังและช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องมิให้มีการซื้อขายหรือใช้ยาเสพติดได้ และคดีที่จะนำมาให้ศึกษากัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งลูกจ้างรายหนึ่งได้เข้าไปเกี่ยวข้องมีไว้ในครอบครองจำนวนไม่น้อย เมื่อถูกจับได้ นายจ้างได้เลิกจ้างโดยเห็นว่าเป็นการประพฤติชั่ว แม้ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาตัดสินลงโทษทางอาญาก็ตาม ลูกจ้างจึงฟ้องนายจ้างเป็นจำเลยต่อศาลแรงงานกลางเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยและค่าเสียหาย ผลจะเป็นอย่างไรต้องติดตามรายละเอียดข้างล่างนี้
คดีนี้ลูกจ้างเป็นโจทก์ยื่นฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประเภทธุรกิจเป็นผู้ผลิตอาหารบรรจุกระป๋องโดยมีโรงงานทำการผลิตอาหารกระป๋องตั้งอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2537 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานตำแหน่งช่างซ่อมบำรุง ฝ่ายปฏิบัติการโรงงาน ได้ค่าจ้างวันละ 183 บาท จ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 15 และวันสิ้นสุดของเดือน วันที่ 12 กันยายน 2544 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า แต่ให้เหตุผลว่าโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ข้อ 19 และข้อ 21 ทั้งทึ่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีตลอดมา โจทก์จึงมีสิทธิได้ค่าชดเชยและค่าเสียหายจากการขาดรายได้ ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายวันละ 183 บาท นับแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2544 เป็นระยะเวลา 100 วัน เป็นเงิน 18,300 บาท และค่าชดเชย 43,920 บาท ให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ก่อนเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ทำงานบกพร่องในหน้าที่และผิดระเบียบข้อบังคับ ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ซึ่งจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือหลายครั้ง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ เพราะโจทก์ทำผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหมวด 9 ข้อ 19 และข้อ 21 ในข้อที่ว่าประพฤติชั่ว และกระทำผิดกฎหมายแพ่งหรือกฎหมายอาญา กล่าวคือ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2544 เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลหนองพลับเข้าจับกุมโจทก์กับภรรยาของโจทก์พร้อมกับยึดเมทแอมเฟตามีน ขอกลางจำนวน 165 เม็ด โดยกล่าวหาว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่วยโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้โดยโจทก์มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การกระทำของโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับดังกล่าวเพราะการประกอบธุรกิจของจำเลยมีพนักงานจำนวน 4,500 คน และพนักงานประมาณ 2,000 คน ต้องใช้มีดในการเจียน จิกตามสับปะรดและปอกผลไม้อื่น ซึ่งหากพนักงานคนใดเสพเมทแอมเฟตามีนแล้วมีอาการคลุ้มคลั่งไม่สามารถควบคุมสติได้ จะเป็นอันตรายแก่พนักงานคนอื่น ๆ และหากจำเลยไม่เลิกจ้างโจทก์ ก็ย่อมมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเมทแอมเฟตามีนในโรงงานของจำเลย การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรง จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินค่าชดเชย 43,920 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงประการเดียวว่าจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยตามที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์หรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน 165 เม็ด และเจ้าพนักงานตำรวจได้มีหนังสือแจ้งจำเลยว่า โจทก์มีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมานาน เจ้าพนักงานตำรวจเข้าทำการตรวจค้นบ้านพักของโจทก์ พบเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่บนเพดานฝ้าในบ้าน พฤติการณ์ของโจทก์ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดถือว่าเป็นการประพฤติชั่ว ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย หมวดที่ 9 ว่าด้วยวินัยและการลงโทษข้อ 19 ซึ่งเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4)
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า สภาพการทำงานในบริษัทจำเลยนั้น พนักงานส่วนใหญ่ต้องใช้มีดเป็นอุปกรณ์ในการทำงาน การเสพยาเสพติดอาจก่อให้เกิดอันตรายในการทำงานได้ นอกจากนี้การจำหน่ายยาเสพติดก็เป็นภัยต่อเศรษฐกิจของผู้เสพ อาจก่อให้เกิดอาชญากรรมขึ้น อีกทั้งทำให้ผู้เสพทำงานบกพร่อง ผลงานลดน้อยถอยลงอันมีผลกระทบต่อการทำงานของพนักงานสถานประกอบการของจำเลยซึ่งมีลูกจ้างจำนวนมากถึง 4,500 คน และศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และบริษัทจำเลยเคร่งครัดไม่ให้พนักงานเกี่ยวข้องกับยาเสพติด การที่โจทก์มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อาจก่อให้เกิดอันตรายในการทำงานของพนักงาน ทั้งเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงจำเลย การที่โจทก์มีพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจนถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนแล้วเห็นว่า คดีมีมูล จึงส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการพิจารณา จนมีคำสั่งฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาล และคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล แม้จะยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลว่าโจทก์กระทำผิดตามฟ้อง ก็ถือว่าโจทก์ประพฤติชั่วอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยหมวดที่ 9 ว่าด้วยวินัยและการลงโทษ ข้อ 19 ซึ่งเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นให้ยกคำขอเกี่ยวกับค่าชดเชยด้วย นอกจากที่แก้ให้บังคับตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5912/2546)
คุณมีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร ?
กรณีนี้นับได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดี และเนื่องจากนายจ้างได้มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุไว้เรื่องการประพฤติชั่ว และศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานได้ตีความอย่างกว้างโดยเห็นว่าการประพฤติตนในกรณีนี้เป็นการประพฤติชั่ว แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่การงานโดยตรงก็ตาม ซึ่งการมีส่วนพัวพันกับยาเสพติดถือได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วได้ และน่าจะเหมาะสมแล้ว การประพฤติชั่วนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นการประพฤติชั่วในการปฏิบัติหน้าที่การงานเท่านั้น การประพฤติชั่วในการปฏิบัติตนทั่วไปก็อยู่ในข่ายที่ถือได้ว่าเป็นความผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานได้
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com