ในการทำงานนอกจากจะได้รับค่าจ้างตามปกติเป็นค่าตอบแทนในการทำงานแล้ว บางครั้งหากต้องมีการออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ ส่วนใหญ่ก็มักจะมีเงินตอบแทนพิเศษเพิ่มขึ้นอีก อาจจะเรียกว่า “เบี้ยเลี้ยง” “ค่าน้ำมัน” “ค่าพาหนะ” “ค่าอาหาร” หรือชื่ออื่น ๆ ก็ได้ เงินเพิ่มดังกล่าวบางครั้งก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะช่วยเหลือลูกจ้างที่จำเป็นต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่นอกสถานที่ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการออกไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป ค่าใช้จ่ายย่อมมากขึ้นด้วย และหลายกรณีเงินเพิ่มดังกล่าวอาจไม่ได้สัดส่วนกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ก็พอเยียวยาภาระลงไปบ้าง แม้บางคนอาจจะมองว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ถ้าการคิดคำนวณเงินค่าตอบแทนดังกล่าวไม่ถูกต้อง ก็อาจเกิดปัญหาขึ้นได้เหมือนกัน ดังเช่นคดีข้างล่างนี้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2522 มีวัตถุประสงค์ในการประกอบและส่งเสริมธุรกิจการประปา โจทก์เป็นพนักงานของจำเลย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองปฏิบัติการ สำนักงานประปาเขต 9 เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2545 ขณะโจทก์ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองควบคุมน้ำสูญเสีย สำนักงานประปาเขต 10 นครสวรรค์ นาย ส. ผู้อำนวยการสำนักงานประปาเขต 10 ได้อนุมัติให้โจทก์ไปปฏิบัติงานตรวจสอบสุ่มตัวอย่างการอ่านมาตรวัดน้ำที่สำนักงานประปาแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2545 ถึงวันที่ 30 มีนาคม 2545 เป็นเวลา 6 วัน โจทก์ออกเดินทางจากสำนักงานประปาเขต 10 ในวันที่ 25 มีนาคม 2545 เวลา 9.18 นาฬิกา ไปถึงสำนักงานประปาแม่สอดวันเดียวกัน เวลา 15.00 นาฬิกา แล้วอยู่ปฏิบัติงานจนแล้วเสร็จและออกเดินทางกลับถึงสำนักงานประปาเขต 10 ในวันที่ 30 มีนาคม 2545 เวลา 15.00 นาฬิกา มีสิทธิได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางอัตราวันละ 380 บาท เป็นเวลา 6 วัน คิดเป็นเงิน 2,280 บาท แต่จำเลยจ่ายให้โจทก์เพียง 5 วัน เป็นเงิน 1,900 บาท ยังขาดอยู่ 380 บาท อ้างว่านับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานของโจทก์ตามข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาค ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานในราชอาณาจักร พ.ศ. 2522 ข้อ 8 ได้เพียง 5 วัน ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะไม่เป็นไปตามหลักสากล โจทก์ร้องทุกข์ต่อผู้ว่าการจำเลย แต่จำเลยปฏิเสธการจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางดังกล่าว โจทก์จึงอุทธรณ์ต่อประธานคณะกรรมการจำเลยวันที่17 กันยายน 2545 จำเลยแจ้งผลการอุทธรณ์ว่า คณะอนุกรรมการกฎหมายและการอุทธรณ์ร้องทุกข์ของจำเลยพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงนำคดีมาฟ้อง ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการกฎหมายและการอุทธรณ์ร้องทุกข์ และบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางอีก 380 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันผิดสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาค ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานในราชอาณาจักร พ.ศ. 2522 ซึ่งให้บังคับแก่พนักงานของจำเลยรวมทั้งโจทก์ข้อ 8 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า “การนับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานเพื่อคำนวณเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ให้นับแต่เวลาออกจากสถานที่อยู่หรือสถานที่ปฏิบัติราชการตามปกติ จนกลับถึงสถานที่อยู่หรือสถานที่ปฏิบัติงานตามปกติ หรือจนถึงสถานที่ปฏิบัติงานใหม่ แล้วแต่กรณี” และวรรคสอง กำหนดว่า “เวลาเดินทางให้นับยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นหนึ่งวัน เศษของวัน ถ้าเกินสิบสองชั่วโมงให้นับเป็นหนึ่งวัน” การนับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานเพื่อคำนวณเบี้ยเลี้ยงเดินทาง จึงต้องถือเกณฑ์ครบ 24 ชั่วโมง นับเป็น 1 วัน และเศษของวันเกิน 12 ชั่วโมงนับเป็น 1 วัน โจทก์ออกเดินทางจากสำนักงานประปาเขต 10 ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติงานตามปกติเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2545 เวลา 9.18 นาฬิกา และกลับถึงสำนักงานประปาเขต 10 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2545 เวลา 15.00 นาฬิกา จึงนับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานของโจทก์ได้ 5 วันกับเศษอีก 5 ชั่วโมง 43 นาที ซึ่งไม่เกิน 12 ชั่วโมง จึงไม่อาจนับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานของโจทก์เป็น 6 วัน ได้ ที่จำเลยจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางให้โจทก์ 5 วัน จึงถูกต้องแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจ ประกอบธุรกิจการประปา มีข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาค ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานในราชอาณาจักร พ.ศ. 2522 ใช้บังคับแก่กรรมการ พนักงานและลูกจ้าง ในการเดินทางไปปฏิบัติงานนอกที่ตั้งสำนักงานซึ่งปฏิบัติงานตามปกติ โจทก์เป็นพนักงานของจำเลย เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองควบคุมน้ำเสีย สำนักงานประปาเขต 10 นครสวรรค์ มีสิทธิได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางในการเดินทางไปปฏิบัติงานในราชอาณาจักร อัตราวันละ 380 บาท ระหว่างดำรงตำแหน่งดังกล่าว โจทก์ได้รับอนุมัติให้ไปปฏิบัติงานตรวจสอบสุ่มตัวอย่าง การอ่านมาตรวัดน้ำที่สำนักงานประปาแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2545 ถึงวันที่ 30 มีนาคม 2545โจทก์เดินทางไปปฏิบัติงานดังกล่าวโดยออกจากสำนักงานประปาเขต 10 สถานที่ปฏิบัติงานตามปกติ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2545 เวลา 9.18 นาฬิกา และกลับถึงสำนักงานประปาเขต 10 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2545 เวลา 15.00 นนาฬิกา มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง 5 วันหรือ 6 วัน
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 5 ว่าด้วยระยะเวลา มาตรา 193/1 บัญญัติว่า “การนับระยะเวลาทั้งปวง ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้ เว้นแต่จะมีกฎหมาย คำสั่งศาล ระเบียบ ข้อบังคับ หรือนิติกรรมกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น” ข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาคว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานในราชอาณาจักร พ.ศ. 2522 ซึ่งกำหนดถึงวิธีการนับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานเพื่อคำนวณเบี้ยเลี้ยงเดินทางที่ให้จ่ายเป็นวัน(ตามบัญชีท้ายข้อบังคับดังกล่าว) อยู่ในข้อ 8 ใช้บังคับระหว่างโจทก์จำเลย การนับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานเพื่อคำนวณเบี้ยเลี้ยงเดินทางของโจทก์จึงต้องเป็นไปตามข้อบังคับดังกล่าว ข้อบังคับดังกล่าวข้อ 8 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า “การนับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานเพื่อคำนวณเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ให้นับตั้งแต่เวลาออกจากสถานที่อยู่หรือสถานที่ปฏิบัติราชการตามปกติ จนกลับถึงสถานที่อยู่หรือสถานที่ปฏิบัติงานตามปกติ หรือจนถึงสถานที่ปฏิบัติงานใหม่ แล้วแต่กรณี” วรรคสอง กำหนดว่า “เวลาเดินทางให้นับยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นหนึ่งวัน เศษของวัน ถ้าเกินสิบสองชั่วโมงให้นับเป็นหนึ่งวัน” เห็นได้ว่าข้อบังคับดังกล่าววรรคหนึ่งกล่าวถึงระยะเวลาที่ให้นับเป็นเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานทั้งหมด วรรคสองกล่าวถึงวิธีการนับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานทั้งหมดตามวรรคหนึ่งเป็นวันเชื่อมโยงประกอบกัน การนับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานของโจทก์จึงต้องถือเกณฑ์ 24 ชั่วโมง เป็น 1 วัน และเศษของวันเกิน 12 ชั่วโมง เป็น 1 วัน โดยเริ่มนับตั้งแต่เวลาที่โจทก์ออกจากสำนักงานประปาเขต 10 ต่อเนื่องติดต่อกันไปจนถึงเวลาที่โจทก์กลับถึงสำนักงานประปาเขต 10 ไม่ใช่แยกเอาระยะเวลาที่โจทก์เดินทางไปปฏิบัติงานในแต่ละวันมาแยกนับ เมื่อโจทก์ออกจากสำนักงานประปาเขต 10 เวลา 9.18 นาฬิกา และกลับถึงสำนักงานประปาเขต 10 วันที่ 30 มีนาคม 2545 เวลา 15.00 นาฬิกา จึงนับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานของโจทก์ได้ 5 วัน กับ 5 ชั่วโมง 43 นาที ซึ่งเศษของ 5 วัน ไม่เกิน 12 ชั่วโมง ไม่อาจนับเป็นอีก 1 วัน ได้ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางเพียง 5 วันไม่ใช่ 6 วันดังที่โจทก์อ้าง ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2541/2548)
เป็นอย่างไรบ้างครับ........คุณคิดตามทันใช่ไหม ขออนุญาตทบทวนให้เห็นและเข้าใจง่าย ๆ ว่า เรื่องนี้โจทก์ได้คิดคำนวณว่าในวันที่ 25 มีนาคม 2545 โจทก์ออกเดินทางเวลา 09.18 นาฬิกา ซึ่งเกินกว่า 12 ชั่วโมง จึงเห็นว่าในวันที่ 25 มีนาคม 2545 โจทก์มีสิทธิได้ค่าเบี้ยเลี้ยง 1 วัน และในวันที่ 30 มีนาคม 2545 โจทก์กลับถึงสำนักงานประปาเขต 10 เวลา 15.00 นาฬิกา ซึ่งคิดเวลาได้เกินกว่า 12 ชั่วโมง จึงเห็นว่า โจทก์มีสิทธิได้เบี้ยเลี้ยงอีก 1 วัน รวมทั้งสิ้นระหว่างวันที่ 25 มีนาคม 2545 ถึงวันที่ 30 มีนาคม 2545 จึงเป็นเบี้ยเลี้ยงทั้งสิ้น 6 วัน แต่ศาลฎีกาเห็นไม่ตรงกับที่โจทก์เข้าใจ.....โอ.เค.นะครับ
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบกรณีนี้ข้อบังคับฯระบุวิธีนับไว้อย่างชัดเจน จึงต้องเป็นไปตามข้อบังคับฯ ครับ ส่วนกรณีของคุณจะเป็นอย่างไร ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/1 ดังกล่าว หากไม่มีข้อบังคับฯกำหนดไว้ ระยะเวลาที่สั้นกว่าวันให้เริ่มต้นนับในขณะที่เริ่มการนั้น ระยะเวลาที่เป็นวัน ไม่ให้นับวันแรก ครับ
ลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ลบ