รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

เลิกจ้างหรือยัง...?

การเลิกจ้างที่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือนั้น บางครั้งก็อาจเป็นที่โต้แย้งกันได้ โดยฝ่ายนายจ้างมักจะอ้างว่ายังไม่ได้เลิกจ้างลูกจ้าง แต่ฝ่ายลูกจ้างจะอ้างว่าตนเองถูกเลิกจ้างแล้ว ทั้งนี้ การเลิกจ้างหรือไม่มีผลกระทบในเรื่องต่าง ๆ หลายเรื่อง เช่น การบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าเสียหายในการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม การกระทำอันไม่เป็นธรรม เป็นต้น จึงขอนำคดีที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับข้อพิพาทกันว่า นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างหรือยังมาให้ดูเป็นตัวอย่าง เนื่องจากลูกจ้างได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางเรียกร้องให้นายจ้างจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม แต่นายจ้างต่อสู้ว่า ลูกจ้างขาดงานไป นายจ้างไม่ได้เลิกจ้างแต่อย่างใด และในชั้นต้นศาลแรงงานกลางได้พิพากษาว่า นายจ้างยังไม่ได้เลิกจ้าง ให้ยกฟ้องของลูกจ้าง ส่วนผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ก็ขอเชิญติดตามข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้เลย

เรื่องมีอยู่ว่า ลูกจ้างเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจ้างว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งกรรมการรองผู้อำนวยการ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 80,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 20 ของเดือน ต่อมาในวันที่ 21 กันยายน 2545 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจา โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์เสียหายขาดรายได้ประจำ ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน 8,000,000 บาท โจทก์ทำงานติดต่อกันมา 19 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยคิดเป็นเงิน 800,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 160,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหาย พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง และอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินค่าชดเชยนับแต่วันที่เลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์

จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณกลางปี 2542 โจทก์มาขอทดลองปฏิบัติงานกับจำเลย มิได้มีฐานะเป็นลูกจ้าง ในที่สุดโจทก์สมัครเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2543 จำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ 80,000 บาท โจทก์เริ่มทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นมา โดยจำเลยไม่ได้ตกลงรับโอนอายุการทำงานของโจทก์มาจากบริษัทต่าง ๆ ตามที่โจทก์ฟ้องการจ่ายเงินเดือนจำเลยจะประกาศกำหนดวันจ่ายตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย แต่คิดคำนวณค่าจ้างถึงวันสิ้นเดือนของทุก ๆ เดือน จึงถือว่ามีกำหนดจ่ายทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2545 จำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์ แต่มีคำสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งรองผู้อำนวยการทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจต่าง ๆ ของจำเลย และพ้นจากหน้าที่อื่นตามที่จำเลยมอบหมาย และมีคำสั่งให้โจทก์เข้ามาปฏิบัติงานที่สำนักงานกรุงเทพมหานครทำหน้าที่บริหารงานทั่วไปตั้งแต่วันดังกล่าว เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ผลการประกอบการในธุรกิจที่จำเลยมอบหมายให้โจทก์กำกับดูแลและบริหารลดต่ำลง โจทก์ไม่ทุ่มเทเวลาทำงาน ละทิ้งหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย โจทก์ขอเวลาในการพิจารณาคำสั่งดังกล่าว 3 วัน หลังจากครบ 3 วันแล้ว โจทก์ไม่ได้มาปฏิบัติงานกับจำเลย โดยโจทก์ขาดงานไปตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2545 เป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยจึงคัดชื่อโจทก์ออกจากการเป็นลูกจ้างและงดจ่ายค่าจ้างตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545 เป็นต้นไป ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย จำเลยไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินส่วน โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยเพียง 1 ปี 10 เดือน หากมีสิทธิได้รับค่าชดเชยก็เพียง 240,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าก็ไม่เกินค่าจ้าง 1 เดือนเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจหอพักสิ่งแวดล้อม ขนส่งรถเช่า น้ำดื่มและพัฒนาที่ดิน มีกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล คณะกรรมการจำเลยได้มอบหมายให้นาง ธ. เป็นประธานกรรมการบริหาร มีอำนาจในการบริหารงานต่าง ๆ ของจำเลยรวมตลอดถึงการจ้างและการเลิกจ้างพนักงาน จำเลยเป็นบริษัทหนึ่งในบริษัทกลุ่ม พ. บริษัทในกลุ่ม พ.มีอยู่ประมาณ 60 บริษัท รวมทั้งบริษัท พ. จำกัด(มหาชน) บริษัท ส. จำกัด และบริษัท บ. จำกัด(มหาชน) บริษัทในกลุ่ม พ.จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต่างหากจากกัน มีกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทต่างกัน แต่กรรมการในบริษัทหนึ่งอาจเป็นกรรมการในอีกบริษัทหนึ่งในกลุ่ม บริษัทในกลุ่ม พ.นี้มีนาย ณ. สามีของนาง ธ. เป็นประธานกรรมการบริหาร เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2526 โจทก์เข้าเป็นลูกจ้างของบริษัท พ. จำกัด(มหาชน) และได้ย้ายไปทำงานในบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่ม พ. อีกหลายบริษัทรวมทั้งบริษัท ส.จำกัด และบริษัท บ. จำกัด(มหาชน) สุดท้ายทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยในตำแหน่งกรรมการของผู้อำนวยการ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 80,000 บาทต่อมาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2545 โจทก์เข้าร่วมประชุมกับนาง ธ.ผู้อำนวยการและนาย ผ. รองผู้อำนวยการอีกคนหนึ่ง นาง ธ. แจ้งโจทก์ว่า ทัศนคติในการทำงานไม่ตรงกัน ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ให้โจทก์ลาออกจะให้ค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 3 เดือน และให้เวลาโจทก์ปรึกษากับครอบครัวก่อน 3 วันย ในวันดังกล่าว นาง ธ. ขอรถประจำตำแหน่งที่โจทก์ใช้อยู่คืน และในช่วงระยะเวลา 3 วันดังกล่าว โจทก์ไม่ต้องไปทำงาน หลังจากครบกำหนดระยะเวลา 3 วันแล้ว โจทก์ไม่ได้เข้าไปปฏิบัติงานให้จำเลยอีก จำเลยจึงตัดชื่อโจทก์ออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545 เป็นต้นไป ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2545 แล้วหรือไม่

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 วรรคสอง บัญญัติว่า “การเลิกจ้างตามมาตรานี้หมายความว่า การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป” ดังนั้น การที่จะวินิจฉัยว่ามีการเลิกจ้างแล้วหรือไม่ จึงต้องพิจารณาถึงการกระทำของนายจ้างประกอบด้วย จะพิจารณาเพียงว่ามีการบอกกล่าวเลิกจ้างด้วยวาจาหรือเลิกจ้างเป็นหนังสือแล้วหรือไม่ ย่อมไม่ได้ คดีนี้แม้ในการประชุมกัน นาง ธ. จะขอให้โจทก์ลาออกโดยจะให้ค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 3 เดือน และให้เวลาโจทก์ปรึกษากับครอบครัวก่อน 3 วัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในการประชุมนั้น นาง ธ. ยังให้โอกาสโจทก์ตัดสินในเสียก่อนว่าจะยอมลาออกตามความประสงค์ของนาง ธ. หรือไม่ ก่อนที่นาง ธ. จะมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไป แต่ข้อเท็จจริงหาได้มีเพียงเท่านี้ไม่ กลับปรากฏว่าในวันดังกล่าวนั้นเอง นาง ธ. ขอรถยนต์ประจำตำแหน่งที่โจทก์ใช้อยู่คืน โดยในช่วงระยะเวลา 3 วันนี้โจทก์ไม่ต้องไปทำงาน ซึ่งหากนาง ธ. ยังให้โอกาสโจทก์ตัดสินใจเสียก่อนดังที่แจ้งโจทก์ในที่ประชุมกัน ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องเรียกเอารถประจำตำแหน่งคืนเสียตั้งแต่วันนั้น และไม่มีเหตุผลใดที่จะให้โจทก์หยุดทำงาน การกระทำของนาง ธ. มีลักษณะที่ไม่ยอมให้โจทก์ทำงานให้จำเลยอีก มิได้ให้โอกาสโจทก์ดังลที่กล่าวในที่ประชุม พฤติการณ์ของนาง ธ. ถือได้ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2545 อันเป็นวันที่เรียกเอารถประจำตำแหน่งคืนจากโจทก์แล้ว หาใช่เพิ่งเลิกจ้างโจทก์นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยคัดชื่อโจทก์ออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยไม่ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยยังมิได้เลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2545 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2575/2548)

ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าว น่าสังเกตว่าศาลมิได้กล่าวถึงเรื่องการจ่ายค่าจ้างแต่อย่างใด ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของบทบัญญัติตามมาตรา 118 วรรคสองที่อ้างถึง

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น