รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

ปัญหาเกี่ยวกับการเป็น “นายจ้าง” – “ลูกจ้าง”

การจ้างที่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือนั้น บางครั้งก็อาจเป็นที่โต้แย้งกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสิทธิหน้าที่ตามสัญญา ซึ่งปัจจุบันแม้จะมีปัญหาน้อยลงในเรื่องของลักษณะสัญญาที่ตกลงกันว่า เป็นสัญญาอะไรกันแน่ ใช่สัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ เนื่องจากหากไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน การที่จะนำบทบัญญัติของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาใช้บังคับก็ไม่สามารถกระทำได้ จึงขอนำคดีที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับข้อพิพาทกันว่า สัญญาจ้างที่ได้ตกลงกันเป็นสัญญาจ้าง หรือมีสภาพเป็น “นายจ้าง” หรือ “ลูกจ้าง” กันหรือไม่ มาให้ดูเป็นตัวอย่าง เนื่องจากโจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางเรียกร้องให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชย และค่าจ้างค้างจ่าย แต่จำเลยต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลย และในชั้นต้นศาลแรงงานกลางได้พิพากษายกฟ้องของโจทก์ส่วนในชั้นศาลฎีกา ผลจะเป็นอย่างไร ก็ขอเชิญติดตามข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้เลย

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ยื่นฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2546 จำเลยได้จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างในทำหน้าที่ทั่วไป ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 200 บาท โดยไม่มีวันหยุดประจำสัปดาห์และไม่ได้กำหนดวันจ่ายค่าจ้าง แต่จำเลยแจ้งว่าจะจ่ายให้เมื่อทำงานครบ 100,000 บาท ต่อมาในวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด โจทก์ทำงานกับจำเลยติดต่อกันมาเกิน 120 วัน จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน เป็นเงิน 6,000 บาท แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายและในระหว่างทำงานจำเลยยังค้างจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2546 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 เป็นเวลา 193 วัน คิดเป็นเงิน 38,600 บาท รวมแล้วจำเลยค้างชำระค่าจ้างและค่าชดเชยโจทก์เป็นเงิน 44,600 บาท รวมแล้วจำเลยค้างชำระค่าจ้างและค่าชดเชยให้แก่โจทก์เป็นเงิน 44,600 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างและค่าชดเชยจำนวน 44,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างจำเลยตามฟ้องโจทก์ เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2546 โจทก์กับสามีเข้าไปอาศัยอยู่ที่บ้านของจำเลย และทำธูปให้จำเลยโดยตกลงคิดค่าจ้างตามผลงานที่ทำได้คิดเป็นกิโลกรัมละ 5 บาท ต่อมาจำเลยทราบว่าโจทก์และสามีกระทำการทุจริต ด้วยการนำเอาธูปที่จำเลยจ้างให้โจทก์ทำไปขายให้บุคคลภายนอก แล้วนำเงินไปใช้จ่ายโดยไม่ส่งมอบให้จำเลย และโจทก์ยังยักยอกเงินค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า รวมทั้งเงินค่าอุปกรณ์ก่อสร้างที่สั่งมาก่อสร้างจำนวนมาก จำเลยจึงให้โจทก์และสามีหยุดทำงานไปโดยจ่ายค่าทำธูปที่ค้างจ่ายทั้งหมด เมื่อโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่ยังศาลที่มีอำนาจภายในกำหนดอายุความ

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงประการเดียวว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ และจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า เมื่อพิเคราะห์คำว่า “สัญญาจ้างแรงงาน” “นายจ้าง” และ “ลูกจ้าง” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 และมาตรา 583 ประกอบพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 แล้ว ลูกจ้าง คือผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้างโดยอยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชาของนายจ้าง หมายความว่า ลูกจ้างต้องทำงานตามที่นายจ้างสั่งและต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้าง หากลูกจ้างฝ่าฝืนนายจ้างสามารถลงโทษได้ คดีนี้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำงานให้แก่จำเลย แต่ไม่แน่ชัดว่าโจทก์ทำงานทั่วไปหรือทำธูป ซึ่งก็มิใช่ข้อที่จะต้องวินิจฉัยถึงการเป็นนายจ้างกับลูกจ้าง ลักษณะสำคัญที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ อยู่ที่อำนาจการบังคับบัญชา เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า การทำงานของโจทก์ไม่ปรากฏว่าต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของจำเลย หรือต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย แสดงว่าการทำงานของโจทก์ไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของจำเลย โจทก์จึงมิได้เป็นลูกจ้างของจำเลย ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างและค่าชดเชยจากจำเลยตามฟ้อง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2970/2548)

ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าว น่าสังเกตว่า โดยปกติการที่จะวินิจฉัยในประเด็นความเป็นนายจ้างกับลูกจ้างนั้น มีหลายประการ เช่น การตกลงที่มุ่งใช้แรงงานหรือมุ่งที่ผลงาน ลักษณะการจ่ายค่าตอบแทนการทำงาน การได้รับประโยชน์ในผลงานที่ทำ การกำหนดเวลาการทำงาน การลงโทษเมื่อมีการกระทำผิด รวมถึงอำนาจการบังคับบัญชาในการทำงาน เป็นต้น แต่สำหรับคดีเป็นที่เห็นได้ชัดเจน จึงใช้หลักเรื่องอำนาจการบังคับบัญชาเพียงอย่างเดียวได้

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น