รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับนายจ้าง ?

ถ้าคุณเป็นนายจ้าง แล้วผู้จัดการฝ่ายบุคคลของคุณได้จัดประชุมลูกจ้างทั้งหมดและบอกว่า โรงงานของคุณไม่ได้เป็นของคุณอีกต่อไปแล้ว และให้เลือกเอาที่จะทำงานกับเจ้าของใหม่หรือไม่ คุณคงต้องเลิกจ้างเขาแน่นอน ใช่ไหมครับ ? แต่คุณจะอ้างเหตุว่าอย่างไรดี

ปัญหาอาจตามมาว่า คุณต้องจ่ายค่าชดเชยให้หรือไม่ ? การเลิกจ้างต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ ? เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมหรือไม่ ? เป็นต้น

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ยื่นฟ้องนายจ้างเป็นจำเลยต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2545 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิดและจำเลยไม่ได้บอกเลิกจ้างให้ทราบล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และจำเลยค้างจ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ 1- 31 กรกฎาคม 2545 ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยให้ชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ค่าจ้างค้างชำระ และค่าชดเชยพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

นายจ้างให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลประพฤติตนไม่เหมาะสมกับการเป็นลูกจ้าง จงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหาย จำเลยมีข้อพิพาทกับบริษัท อ. จำกัด เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2545 มีผู้อ้างว่าเป็นพนักงานของบริษัท อ. จำกัด พยายามจะเข้ามาภายในบริเวณโรงงานของจำเลย แต่ยามไม่ให้บุคคลดังกล่าวเข้ามา โจทก์ออกคำสั่งให้ยามเปิดประตู แต่ยามไม่ยอม และโจทก์แจ้งต่อนาย ส. หัวหน้าคนงานแผนกขนส่งว่าโรงงานไม่ใช่ของจำเลยอีกต่อไป ศาลมีคำสั่งให้คนงานรับเงินเดือนของบริษัท อ. จำกัด ใครไม่สมัครงานจะตกงาน และโจทก์บอกว่าตนเป็นพนักงานของบริษัท อ. จำกัด แล้ว การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ต่อมาวันที่ 15 กรกฎาคม 2545 จำเลยจึงปลดโจทก์ออกจากงานโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยไม่ได้ค้างชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ จำเลยขอให้ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสีย

คุณคิดว่า ศาลแรงงานกลางจะตัดสินอย่างไร ?

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างชำระจำนวน 5,239 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2545 (วันเลิกจ้าง)เป็นต้นไปจนหว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยกเสีย

โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านต่อศาลฎีกาเพื่อหาข้อยุติตามกระบวนการ

ศาลฏีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเช่าโรงงานผลิตกล่องกระดาษจากบริษัท อ. จำกัด โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล ต่อมาบริษัท อ. จำกัดฟ้องขับไล่จำเลย และศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยและบริวารใช้เครื่องจักร เครื่องยนต์ที่ใช้ในการผลิตกระดาษและกล่องกระดาษ มีการส่งหมายแจ้งคำสั่งดังกล่าวถึงนาย ช. กรรมการผู้จัดการของจำเลยแล้ว ต่อมาโจทก์พูดกับนาย ส. หัวหน้าคนงานแผนกขนส่ง ขอจัดสถานที่เรียกพนักงานเข้าประชุมเพื่อสอบถามความสมัครใจของพนักงานว่าจะเลือกอยู่กับจำเลยหรือบริษัท อ. จำกัด และในวันดังกล่าวโจทก์จะนำพนักงานของบริษัท อ. จำกัด เข้ามาในบริษัทจำเลย แต่ยามของบริษัทจำเลยไม่อนุญาต แล้ววินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย

ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (2) ที่บัญญัติไว้ว่า นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายจะต้องเป็นเรื่องที่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างขึ้นแล้ว และความเสียหายนั้นเกิดจากการกระทำของลูกจ้างโดยตรง และเป็นการกระทำโดยจงใจของลูกจ้างด้วย แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ความเสียหายยังมิได้เกิดขึ้นจริงเพราะพนักงานทุกคนยังเชื่อฟังคำสั่งของจำเลยและอยู่ปฏิบัติงานให้แก่จำเลยด้วยความสามัคคี มิได้แตกแยกกันแต่อย่างใดนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(2) มีความมุ่งหมายที่จะให้สิทธิแก่นายจ้างสามารถลงโทษลูกจ้างที่ตั้งใจหรือมีเจตนากระทำการโดยรู้ว่า การกระทำของตนจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างเท่านั้น มิได้มุ่งเน้นที่ความเสียหายว่าได้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพียงใด ซึ่งแตกต่างจากกรณีกระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ตั้งใจตามมาตรา 119(3) ที่มีเงื่อนไขว่า ความเสียหายที่นายจ้างได้รับจะต้องถึงขั้นเสียหายอย่างร้ายแรง นายจ้างจึงจะมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ฉะนั้น ไม่ว่าการกระทำของโจทก์จะทำให้จำเลยได้รับความเสียหายแล้วหรือไม่ จึงมิใช่ข้อสาระสำคัญที่จะนำมาเป็นหลักในการวินิจฉัย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์กระทำการโดยสุจริต เพราะเชื่อว่าโจทก์และจำเลย รวมทั้งพนักงานทุกคนจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ให้หยุดเดินเครื่องจักและให้พนักงานทุกคนได้รับค่าจ้างจากบริษัท อ. จำกัด และจำเลยก็มิได้มีคำสั่งโดยตรงถึงโจทก์ห้ามมิให้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลอันจะเป็นผลให้นายจ้างได้รับความเสียหาย และไม่สมกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 การกระทำของโจทก์จึงเป็นการกระทำเพื่อให้คำสั่งของศาลเป็นไปโดยถูกต้องและลุล่วงไปด้วยดี มิใช่กระทำเพื่อให้ความร่วมมือกับฝ่ายตรงกันข้ามนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า หมายแจ้งคำสั่งศาลมีไปถึงจำเลย ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลคือ นาย ช. กรรมการผู้จัดการจำเลย โจทก์เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลมีหน้าที่บริหารงานบุคคลภายในบริษัทจำเลยให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและคำสั่งของนาย ช. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา โจทก์ไม่มีหน้าที่ในการดำเนินการตามคำสั่งของศาลดังกล่าว แต่ข้อเท็จจริงได้ความตามคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่า โจทก์ได้แสดงตนเป็นพนักงานของบริษัท อ. จำกัด ซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายปฏิปักษ์กับจำเลย และขอจัดประชุมเพื่อให้พนักงานของจำเลยที่มีอยู่ประมาณ 200 คน สมัครใจว่าจะเป็นลูกจ้างของใคร กับทั้งจะนำคนงานของบริษัท อ. จำกัด เข้ามาในโรงงานซึ่งอาจก่อให้เกิดการแตกแยกในหมู่พนักงานของจำเลย และเกิดความเสียหายแก่จำเลยได้ พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นการทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับจำเลยและมีเจตนาจะให้ความร่วมมือช่วยเหลือฝ่ายตรงข้ามกับจำเลย มิใช่เป็นการกระทำเพื่อให้คำสั่งศาลเป็นไปโดยถูกต้องและบรรลุผลโดยสุจริตใจ ซึ่งนอกจากเป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายแล้ว ยังเป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะผู้จัดการฝ่ายบุคคลของจำเลยให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอีกด้วย ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7045/2546)

นี่แหละ!…….ที่เรียกกันว่า “ทำเกินหน้าที่” ไม่ใช่การ “คิดนอกกรอบ” นะ เพราะการคิดนอกกรอบจะเป็นการทำงานที่สร้างสรรค์ แต่การทำลายนายจ้างเป็นสิ่งที่อภัยให้กันยาก…..จริงไหมครับ ?

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น