รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

กระทำไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่

ในการปฏิบัติหน้าที่การงาน ลูกจ้างจะต้องยึดถือปฏิบัติให้ถูกต้องโดยสุจริตและเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่นายจ้าง มิฉะนั้น นายจ้างก็อาจยกเป็นสาเหตุในการที่จะเลิกจ้างได้ บางครั้งอาจไม่ได้รับค่าชดเชยหรือสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าอีกด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดความเดือดร้อนยิ่งขึ้น ส่วนปัญหาว่าลูกจ้างจะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะเรียกได้ว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง สุจริต และเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่นายจ้าง เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณาจากตำแหน่งหน้าที่การงานและการกระทำที่ได้กระทำลงไป ดังเช่นคดีตัวอย่างข้างท้ายนี้

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2546 ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่หัวหน้าแผนกอาคารสถานที่ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 30,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน จำเลยหักค่าจ้างเป็นเงินสะสมเดือนละ 500 บาท จะจ่ายคืนเมื่อออกจากงาน วันที่ 19 กันยายน 2546 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน จำเลยกลั่นแกล้งเลิกจ้างเพราะจำเลยต้องการจ้างบุคคลอื่นมาทำงานแทนโจทก์ และจำเลยกับโจทก์มีแนวคิดในการทำงานที่ขัดแย้งกัน จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 30,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 41,000 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 150,000 บาท และคืนเงินสะสม 4,000 บาท แก่โจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมจำเลยจ้างโจทก์เป็นผู้จัดการฝ่ายบริหาร มีหน้าที่บริหารงานซึ่งรวมถึงงานการบุคคลด้วย เป็นการจ้างตามที่โจทก์อ้างว่าโจทก์มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง แต่ความจริงโจทก์ไม่มีความสามารถตามที่อ้าง กล่าวคือโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำเอกสารรายงานเท็จต่อผู้บริหารระดับสูงเพื่อกล่าวโทษ ให้ร้าย และเลิกจ้างพนักงาน 2 คน โดยไม่จ่ายค่าชดเชยทั้งที่พนักงานดังกล่าวไม่มีความผิด ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ ซึ่งมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานกลางโจทก์แถลงว่า โจทก์ได้รับเงินสะสม 4,000 บาท จากจำเลยแล้ว ไม่ติดใจเรียกร้องเงินจำนวนนี้อีก และศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 30,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 41,000 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 20,000 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์สอบถามราคาสินค้าตามบิลเงินสดจากนางสาว น. ผู้จัดการร้าน พ. สาขารัตนาธิเบศร์ โดยไม่แสดงบิลเงินสดดังกล่าวและกระปุกซิลิโคนต่อนางสาว น. แล้วโจทก์เสนอต่อผู้บังคับบัญชาให้จำเลยเลิกจ้างนาย น. และนาย ม. ลูกจ้างของจำลเยผู้ซื้อสินค้าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือไม่ ? และจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า กับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์หรือไม่

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิเคราะห์แล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไปสอบถามราคาสินค้าที่นาย น. และนาย ม. ซื้อมาจากร้าน พ. สาขารัตนาธิเบศร์ โดยไม่นำบิลเงินสดและกระปุกซิลิโคนไปให้ร้าน พ. ตรวจดู แล้วโจทก์ทำหนังสือขอเลิกจ้างนาย น. และนาย ม. ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ตามหนังสือที่โจทก์เสนอต่อผู้บังคับบัญชาขอเลิกจ้างนาย น. และนาย ม. โจทก์กล่าวหาว่า นาย น. และนาย ม. ปลอมแปลงบิลเงินสดหรือทำหลักฐานรายงานเท็จโดยการปลอมแปลงราคาซิลิโคน ปุ่มวีอาร์ และท่อหด โดยที่บิลเงินสดเป็นเอกสารของร้าน พ. สาขารัตนาธิเบศร์ การที่โจทก์ไม่ได้นำบิลเงินสดให้นางสาว น. ผู้จัดการร้าน พ. สาขารัตนาธิเบศร์ ผู้เป็นเจ้าของเอกสารตรวจดูว่าเป็นเอกสารที่ทางร้านออกจริงหรือไม่ ข้อความระบุราคาในเอกสารดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ ทั้งที่ปรากฏว่าในการไปตรวจสอบราคาสินค้าที่ร้าน พ. สาขารัตนาธิเบศร์ ครั้งที่ 2 โจทก์นำบิลเงินสดใส่กระเป๋าเสื้อไปด้วย ซึ่งโจทก์สามารถตรวจสอบด้วยการแสดงเอกสารดังกล่าวให้เจ้าของเอกสารตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของเอกสารได้โดยง่ายแต่ไม่ทำการรวบรวมพยานหลักฐานว่ามีการปลอมเอกสารบิลเงินสดหรือไม่จึงยังไม่ครบถ้วน ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า หลังจากเลิกจ้างนาย น. และนาย ม. แล้ว นาย น. และนาย ม.โต้แย้งว่าได้ซื้อสินค้าตามบิลเงินสดดังกล่าวจริง โจทก์จึงให้บุคคลทั้งสองนำสำเนาเอกสารบิลเงินสด และกระปุกซิลิโคนไปตรวจสอบที่ร้าน พ. สาขารัตนาธิเบศร์ หลังจากทางร้านตรวจสอบแล้วว่า สินค้านั้นซื้อมาจากร้านจริง โจทก์ก็เชื่อว่านาย น. และนาย ม. ซื้อสินค้าตามราคาที่ระบุไว้ในบิลเงินสดจากร้าน พ. สาขารัตนาธิเบศร์จริง แต่ในขณะที่ยังตรวจสอบพยานหลักฐานไม่ครบถ้วน โจทก์กลับกลับกล่าวหาว่า นาย น. และนาย ม. ปลอมบิลเงินสดอันเป็นความผิดอาญาและเสนอให้จำเลยดำเนินคดีแก่นาย น. และนาย ม. แม้ว่าโจทก์รายงานการตรวจสอบราคาตามหนังสือรับรองของนางสาว น. ไม่เป็นความเท็จ แต่การรายงานดังกล่าวกระทำโดยโจทก์ยังรวบรวมพยานหลักฐานไม่ครบถ้วนในส่วนที่เป็นสาระสำคัญของข้อกล่าวหา เป็นการที่โจทก์ไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อในการกล่าวหาว่านาย น. และนาย ม. กระทำความผิดอาญาฐานปลอมเอกสาร ผลการกระทำของโจทก์คือ จำเลยโดยตัวโจทก์เองในขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบริหาร ได้เลิกจ้างนาย น. และนาย ม. โดยไม่จ่ายค่าชดเชย การกระทำของโจทก์เป็นที่เห็นได้ว่า ย่อมมีผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของลูกจ้างจำเลย ทำห้าระบบบริหารงานบุคคลของจำเลยเสียหาย และการดำเนินงานของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับการทำงานของนาย น. และนาย ม. ต้องหยุดชะงักในระหว่างที่เลิกจ้างนาย น. และนาย ม. ด้วย แต่ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาปรากฏว่า หลังจากมีคำสั่งเลิกจ้างเพียง 2 – 3 วัน จำเลยก็รับนาย น. และนาย ม. กลับเข้าทำงานอีก ประกอบกับข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ 3 ตารางข้อ 21 ระบุว่าลูกจ้างที่ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหายจะถูกลงโทษขั้นปลดออกจากงาน แสดงว่าจำเลยมุ่งประสงค์ลงโทษลูกจ้างที่ทำงานประมาทเลินเล่อถึงขั้นเลิกจ้างเฉพาะกรณีทำให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหายเท่านั้น จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยเสียหายในระบบการบริหารงานบุคคลและการดำเนินงานซึ่งไม่ใช่ความเสียหายเป็นทรัพย์สินตามความประสงค์ของข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ดังนั้น กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (3) เมื่อจำเลยเลิกจ้าง โจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามมาตรา 118(1) แต่การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบริหารให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยจึงสามารถเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 แก่โจทก์ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยสาเหตุปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควร ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์เช่นกัน อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ส่วนที่เกี่ยวกับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2191/2548)

กรณีข้างต้นเป็นเรื่องความผิดพลาดของโจทก์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายบริหาร มีหน้าที่เกี่ยวกับงานบุคคลด้วย โจทก์ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเท่าที่ควรในการที่จะแสวงหาพยานหลักฐานในการกล่าวหานาย น. และนาย ม. ลูกจ้างที่ต้องสงสัยว่ากระทำผิดต่อนายจ้าง อันเป็นการประมาทเลินเล่อต่อตำแหน่งหน้าที่ เมื่อนายจ้างไม่ไว้วางใจจึงเลิกจ้างโจทก์ โดยที่กรณีดังกล่าวไม่เข้าข้อยกเว้นในการที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไป แต่ไม่ใช่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร จึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายกรณีถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น