รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

นายจ้างนำเครื่องจักรมาใช้ในการทำงาน

มีเรื่องที่เกิดขึ้นเนื่องจากนายจ้างได้เลิกจ้างลูกจ้าง อ้างเหตุว่าต้นทุนการผลิตสูงทำให้ต้องลดแผนกของกระบวนการผลิตให้พอเหมาะกับปริมาณงานที่แท้จริง แต่ฝ่ายลูกจ้างเห็นว่านายจ้างนำเครื่องจักรมาใช้ปรับปรุงหน่วยงานการผลิตทำให้ต้องลดจำนวนลูกจ้าง และพิพาทกันถึงศาลฎีกา

รายละเอียดของเรื่องนี้มีอยู่ว่า โจทก์ 11 คนได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์ทั้ง 11 เป็นลูกจ้างของจำเลย ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน วันที่ 30 มิถุนายน 2547 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 11 เนื่องจากจำเลยปรับปรุงหน่วยงานการผลิตโดยนำเครื่องจักรมาใช้ เป็นเหตุให้ลดจำนวนลูกจ้าง โจทก์ทั้ง 11 มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 60 วัน จำเลยจ่ายให้แล้ว 20 วัน ยังค้างอยู่ 40 วัน ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุปรับปรุงหน่วยงานกระบวนการผลิตอันเนื่องมาจากการนำเครื่องจักรมาใช้ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องลดจำนวนลูกจ้างและลูกจ้างทำงานติดต่อกันเกิน 6 ปีขึ้นไป ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษเพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 15 วัน ต่อวันทำงานครบ 1 ปี แต่ทั้งนี้ค่าชดเชยรวมแล้วต้องไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้าย 360 วัน โจทก์ทั้ง11 ทำงานกับจำเลยติดต่อกันเกิน 6 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ การเลิกจ้างด้วยเหตุดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ทั้ง 11 เสียหาย ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพิเศษและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี กับค่าชดเชยพิเศษพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องตามคำขอบังคับท้ายฟ้องของโจทก์แต่ละคนจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้ง 11

จำเลยทั้ง 11 สำนวนให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยมีวัตถุประสงค์ผลิตและจำหน่ายผงชูรส จำเลยประกอบกิจการมานานหลายปี จำเลยไม่ได้เลิกจ้างลูกจ้างเพราะปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่ต้องนำเครื่องจักรมาใช้ จำเลยเลิกจ้างลูกจ้างเพราะต้นทุนการผลิตสูงทำให้ต้องลดแผนกของกระบวนการผลิตให้พอเหมาะกับปริมาณงานที่แท้จริง จำเลยคัดเลือกโจทก์ทั้ง 11 ออกจากงานตามหลักเกณฑ์ที่ทุกฝ่ายยอมรับ ไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้ง ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างการพิจารณาคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้ง 11 เป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 5 และวันที่ 20 ของเดือน วันเข้าทำงาน ตำแหน่งงาน และค่าจ้างอัตราสุดท้ายของโจทก์แต่ละคนปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลางฉบับลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2547 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 11 โดยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยประกอบกิจการโรงงานผลิตผงชูรสสำเร็จรูป เดิมมีกระบวนการผลิตตามเอกสารลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ต่อมาเปลี่ยนกระบวนการผลิตใหม่ โดยยุบกระบวนการผลิตขั้นตอนที่ 1 ทั้งหมด ยุบกระบวนการผลิตขั้นตอนที่ 2 ห้องเอสดีซี

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยมีผลประกอบกิจการขาดทุนจึงยุบกระบวนการผลิตบางส่วนแล้วนำเครื่องโม่ 2 เครื่อง มาใช้แทนกระบวนการผลิตขั้นตอนที่ 2 ที่ถูกยุบ เป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 11 จึงเป็นการเลิกจ้างเพราะเหตุจำเลยปรับปรุงหน่วยงานกระบวนการผลิตอันเนื่องจากการนำเครื่องจักรมาใช้แทนลูกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 121 จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 60 วัน และต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแก่โจทก์ผู้ที่ทำงานติดต่อกันเกิน 6 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 15 วันต่อการทำงานครบ 1 ปี ตามมาตรา 122 จำเลยยุบหน่วยงานและเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 11 เพราะขาดทุนอันเป็นเรื่องเกี่ยวกับฐานะทางเศรษฐกิจและความอยู่รอดของจำเลยกับลูกจ้างส่วนใหญ่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์ทั้ง 11 เป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพิเศษที่ยังขาดอยู่ 40 วัน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าชดเชยพิเศษ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้ง 11 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสิบเอ็ดสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 11 เพราะจำเลยปรับปรุงกระบวนการผลิตอันเนื่องมาจากการนำเครื่องจักรมาใช้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยนำผงชูรนสกึ่งสำเร็จรูปหรือ GA ที่ซื้อมาใช้ในการผลิตผงชูรสสำเร็จรูปแทนการผลิตผงชูรสกึ่งสำเร็จรูปจากกากน้ำตาลด้วยตนเองดังที่เคยกระทำมา อันเป็นการตัดทอนขั้นตอนการผลิตเดิม การปรับปรุงกระบวนการผลิตด้วยวิธีนี้จำเลยไม่ได้นำเครื่องจักรมาใช้ เครื่องจักรคือเครื่องโม่ 2 เครื่องจึงไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 11 ในส่วนนี้ ส่วนการที่จำเลยนำเครื่องโม่ 2 เครื่องมาใช้เกิดจากการที่จำเลยนำน้ำที่เหลือจากการผลิตผงชูรสในกระบวนการผลิตขั้นตอนที่ 3 หน่วยงานที่ 3 ปั่นแยกน้ำแยกเนื้อผงชูรสสำเร็จรูปแล้วครั้งหนึ่งมาปั่นแยกผงชูรสกึ่งสำเร็จรูปออกจากน้ำอีกครั้งซึ่งเป็นการรีไซเคิลน้ำหรือเป็นการนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาผลิตอีกครั้ง ข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่า ในกระบวนการผลิตแบบเดิมจำเลยก็ไม่เคยทิ้งน้ำที่เหลือจากขั้นตอนที่ 3 ไปเลย แต่นำมารีไซเคิลตลอดมา โดยนำมาเข้าเครื่องโม่แยกน้ำแยกเนื้อผงชูรสกึ่งสำเร็จรูปเดิมที่ห้องเอดีซี ส่วนตามกระบวนการผลิตใหม่เนื่องจากจำเลยเลิกใช้ห้องเอสดีซี จึงเปลี่ยนมาใช้เครื่องโม่ใหม่จำนวน 2 เครื่อง แทนเครื่องเดิมซึ่งก็มีลักษณะไม่แตกต่างกันมากนัก แต่กำลังการผลิตแตกต่างกันมาก เป็นการทำให้น้ำที่เหลือจากการผลิตสะอาดขึ้นก่อนปล่อยเป็นน้ำทิ้ง ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์ในการผลิตของจำเลย ผงชูรสกึ่งสำเร็จรูปที่ได้จากการรีไซเคิลน้ำเป็นเพียผลพลอยได้เท่านั้น การที่จำเลยนำเครื่องโม่ใหม่มาใช้ในการรีไซเคิลจึงไม่ใช่การที่นายจ้างปรับปรุงกระบวนการผลิตเนื่องจากการนำเครื่องจักรมาใช้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 121 วรรคหนึ่ง จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินตามฟ้องแก่โจทก์ทั้ง 11 อุทธรณ์ของจำเลยทั้ง 11สำนวนฟังขึ้น พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้ง 11สำนวน(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7683 - 7693/2548)

หลายท่านอาจจะสงสัยในประเด็นเล็ก ๆ ว่า อ้าว....แล้วเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างไปแล้วบางส่วนล่ะ ลูกจ้างต้องคืนไหม ? คำตอบก็คือ ไม่มีประเด็นนี้ในคดี หากนายจ้างติดใจก็ต้องไปว่ากันอีกเรื่องหนึ่งครับ

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น