รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

ประเด็นต่อสู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

ขอนำเรื่องเบา ๆ มาให้อ่านกันเพลิน ๆ ไม่เคร่งเครียดมากนัก คือเป็นเรื่องของการต่อสู้คดีที่แปลก ๆ เพราะที่ผ่านมายังไม่ค่อยได้เห็นการต่อสู้คดีในลักษณะนี้บ่อยนัก เป็นการเปลี่ยนแนวคิดที่น่าสนใจ แต่อย่านำไปใช้บ่อยเกินไป เพราะการต่อสู้คดีควรคำนึงถึงข้อเท็จจริงกันมากกว่าที่จะต่อสู้กันในข้อกฎหมาย ที่บางครั้งอาจทำให้คนดี ๆ เจ็บปวดได้เหมือนกัน

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2529 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นแพทย์ ครั้งสุดท้ายโจทก์ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลฝ่ายการแพทย์ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 124,760 บาท ต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวไปดำรงตำแหน่งแพทย์ทางด้านศัลยกรรมซึ่งเป็นตำแหน่งด้อยลงกว่าเดิมมาก โจทก์ไม่ยินยอม วันที่ 30 ตุลาคม 2541 จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุเกษียณอายุ 55 ปี ซึ่งไม่ใช่เหตุอันสมควร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้การที่จำเลยนำประกาศของโรงพยาบาลเรื่องเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ไปดำรงตำแหน่งแพทย์ทางด้านศัลยกรรม กับประกาศเรื่องการพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานประจำของโจทก์ไปปิดไว้ที่โรงพยาบาลหลายแห่ง ทั้งที่กรรมการบริษัทจำเลยไม่เคยมีมติในเรื่องดังกล่าว ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วย โจทก์ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 16,068,480 บาท ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดจำนวน 10,000,000 บาท และดอกเบี้ยตามกฎหมายแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เพราะพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ระบุให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจเองว่าการเลิกจ้างใดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม มิได้ให้สิทธิแก่คู่ความเป็นฝ่ายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายต่อศาล สัญญาจ้างโจทก์ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ เป็นสัญญาจ้างที่มีระยะเวลา 2 ปี โจทก์ดำรงตำแหน่งดังกล่าวมาเกินกว่า 2 ปีแล้ว ทั้งโจทก์มีปัญหาด้านการบริหารงาน จำเลยจึงเสนอให้โจทก์ลาออกโดยจะจ่ายค่าชดเชยให้ 6 เดือน ตามกฎหมายฉบับเก่า แต่โจทก์ทราบว่าหากจำเลยเป็นฝ่ายเลิกจ้างโจทก์หลังจากวันที่ 19 สิงหาคม 2541 โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชยเป็นเวลา 10 เดือน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับใหม่ โจทก์จึงไม่ยอมลาออก เป็นเหตุให้จำเลยต้องเลิกจ้างโจทก์ด้วยสาเหตุเกษียณอายุ เพราะขณะนั้นโจทก์มีอายุ 60 ปีเศษแล้ว โดยจำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์จำนวน 10 เดือน ของค่าจ้างอัตราสุดท้าย การเลิกจ้างดังกล่าวจึงไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ประกาศเรื่องเปลี่ยนตำแหน่งโจทก์กับประกาศเรื่องการพ้นสภาพจากตำแหน่งผู้อำนวยกการฝ่ายการแพทย์ของโจทก์นั้น เป็นการประกาศไปตามความเป็นจริง จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ศาลแรงงานกลางยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 500,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2541 จนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จสิ้น

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาได้ความว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลฝ่ายการแพทย์ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 124,760 บาท และโจทก์ทำหน้าที่แพทย์ทางด้านศัลยกรรมควบคู่กันไปด้วย โดยได้รับส่วนแบ่งจากค่าบริการทางการแพทย์หรือ Docter Fee (DF) อีกจำนวนหนึ่ง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยอ้างเหตุเกษียณอายุ 55 ปี ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ขณะที่โจทก์มีอายุ 62 ปี โดยจำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ไปแล้วจำนวน 10 เดือน ของอัตราค่าจ้างสุดท้ายเป็นเงิน 1,247,600 บาท แต่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คดีมีปัญหาวินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลแรงงานกลางรับมาตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ข้อนี้จำเลยอุทธรณ์ว่า การที่โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้นจะต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ที่บัญญัติว่า “การพิจารณาคดีในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าการเลิกจ้างลูกจ้างผู้นั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง และเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ ให้ศาลแรงงานกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้แทนโดยให้ศาลคำนึงถึงอายุของลูกจ้าง ระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง ความเดือดร้อนของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง....” อันเป็นการให้อำนาจของศาลแรงงานแต่เพียงผู้เดียว หาใช่ให้สิทธิแก่ลูกจ้างที่จะฟ้องเรียกร้องได้นั้น

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการให้อำนาจศาลแรงงานใช้ดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายที่ลูกจ้างได้รับ หาใช่บทบัญญัติเป็นการตัดสิทธิของลูกจ้างซึ่งได้รับความเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมที่จะฟ้องเรียกร้องไม่ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเห็นว่าจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้ว กรณีย่อมถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 และมาตรา 49 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลแรงงานได้

ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการสุดท้ายคือ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างกับลูกจ้าง และอ้างความเป็นมาของการเลิกจ้างว่า ขณะโจทก์ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ของจำเลยได้รับค่าจ้างเดือนละ 124,760 บาท จำเลยมีหนังสือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ให้ไปดำรงตำแหน่งเป็นแพทย์ทางด้านศัลยกรรมซึ่งเป็นตำแหน่งที่ด้อยกว่าเดิมมาก เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ และเมื่อโจทก์ร้องเรียนต่อสำนักงานสวัสดิการและแรงงานจังหวัดชลบุรีว่า จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ไม่ครบถ้วน เป็นเหตุให้สำนักงานดังกล่าวสั่งให้จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เพิ่มเติม จำเลยจึงมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อน ได้รับความเสียหาย จึงขอคิดค่าเสียหายโดยคำนวณจากเงินเดือนที่เคยได้รับและค่าตรวจรักษาคนไข้(DF) เป็นเวลา 5 ปี ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1896/2548)

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น