รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

ความหมายของคำว่า “ทุจริต”

ช่วงเวลาที่ผ่านมาต้องยอมรับไม่เคยคิดว่า คำว่า “ทุจริต” ตามที่ปรากฏในข้อยกเว้นการจ่ายค่าชดเชยตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หรือแม้แต่ตามกฎหมายฉบับเดิมคือประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฉบับลงวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2515 ก็เช่นเดียวกัน จะมีความหมายเป็นอย่างอื่น นอกเหนือไปจากนิยามที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) ในคำว่า “โดยทุจริต” กล่าวคือ เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่น แต่เมื่อได้อ่านคำพิพากษาฎีกาข้างล่างนี้แล้ว จึงได้ทราบว่า เป็นการเข้าใจผิดมาโดยตลอด และเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าว

รายละเอียดของคดีมีอยู่ว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า อันเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 25,740 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 15,730 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 8,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของแต่ละต้นเงินนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การด้วยวาจา ขอให้ศาลแรงงานกลางยกฟ้องโจทก์

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 25,740 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้(สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม)ให้ยกเสียามที่กำหนดในกฎกระทรวง

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2544 มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 8,600 บาท โจทก์ได้เรียกรับสุรา 4 ขวด จากคู่ค้าของจำเลยอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ข้อ 3.34 เป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2545 ซึ่งจำเลยอ้างเหตุในหนังสือเลิกจ้างว่า โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง และวินิจฉัยว่า การที่โจทก์รับสุราจากคู่ค้าของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ 3.34 ซึ่งตำแหน่งของโจทก์อาจเอื้อประโยชน์หรือให้คุณให้โทษต่อคู่ค้าที่จำหน่ายสินค้าให้จำเลย ถือเป็นเรื่องสำคัญ การที่จำเลยเลิกจ้างโดยเหตุดังกล่าวจึงมีเหตุสมควรและถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม แต่การกระทำดังกล่าวไม่ปรากฏว่า โจทก์ฉ้อโกงหรือประพฤติชั่วในกิจการงานของจำเลย กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดอาญา โดยเจตนาแก่จำเลยตามที่จำเลยอ้างในหนังสือเลิกจ้าง จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน คิดเป็นเงิน 25,740 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามกฎหมาย และคดีนี้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เนื่องจากยังไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดี ศาลแรงงานกลางได้รับฟังข้อเท็จจริงตามที่คู่ความรับกันเพิ่มเติมตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลาง(ธัญบุรี) ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2547 ไว้เป็นใจความว่า คู่ค้าของจำเลยได้รับโทรศัพท์จากโจทก์ขอสุราจากร้านโดยอ้างว่าบริษัทจำเลยจะไปเที่ยวในวันที่ 20 และ21 ตุลาคม 2545 คู่ค้าของจำเลยหลงเชื่อตามโจทก์อ้าง จึงให้สุราแก่โจทก์ไปรวม 4 ขวด การเรียกรับสุรานั้นจำเลยไม่ได้สั่งการ โจทก์ได้ใช้สุราทั้ง 4 ขวดในการไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมงานประมาณ 30 คน โดยไปเที่ยวกันเอง โจทก์ไม่ได้จ้างให้จำเลยทราบมาก่อน ที่จำเลยอุทธรณ์เป็นใจความว่า การกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของโจทก์ในการจัดซื้อ จัดหา ตลอดจนคัดเลือกกลุ่มสั่งซื้อของเข้าบริษัทจำเลย การที่โจทก์เรียกรับสุรา 4 ขวดจากคู่ค้า เป็นการแสวงหาประโยชน์แก่ตนเองโดยทุจริตในตำแหน่งหน้าที่ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของจำเลย ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยข้อ 3.34 อันเป็นกรณีร้ายแรงแล้วนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(1) กำหนดให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งถูกเลิกจ้างในกรณีลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่ โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้ความหมายคำว่า “ทุจริต” ไว้และไม่ได้ใช้คำว่า “โดยทุจริต” ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) จึงต้องใช้ความหมายคำว่า “ทุจริต” ตามพจนานุกรม คือความประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อตรง การกระทำของโจทก์ที่ได้สุรา 4 ขวด มาจากคู่ค้าของจำเลย เพราะโจทก์เรียกรับเอาเองในขณะที่โจทก์มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อของจำเลย อันเป็นตำแหน่งที่อาจเอื้อประโยชน์หรือให้คุณให้โทษต่อคู่ค้า คู่ค้าจึงอาจเกรงใจ จำยอมหรือยอมให้โดยไม่ได้สมัครใจอย่างแท้จริง ทั้งการที่โจทก์อ้างว่าจำเลยจะนำเที่ยวในวันดังกล่าวคู่ค้าหลงเชื่อจึงได้สุราไป ความจริงโจทก์กับเพื่อนร่วมงานนำสุราทั้ง 4 ขวดใช้ในการเที่ยวส่วนตัว การกระทำดังกล่าวของโจทก์จึงเป็นความประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อตรง อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (1) จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น เมื่อได้ความว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยอีก พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมด (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5233/2549)

เป็นอย่างไรบ้างครับ .......ความจริงปัญหานี้เป็นเรื่องที่ง่าย ๆ แต่เนื่องจากมีรายละเอียดของข้อเท็จจริงแตกต่างกันไปอีกแบบหนึ่ง ทำให้มีประเด็นถกเถียงกันจนถึงศาลฎีกา และเป็นเรื่องของการที่บทบัญญัติของกฎหมายอาจจะไม่สามารถเขียนอธิบายให้ครอบคลุมทุกเรื่องทุกกรณี ทั้งนี้ หลายคนอาจจะสังเกตเห็นว่ามีการกล่าวอ้างข้อกฎหมายต่าง ๆ กันอยู่ทั่วไป จนบางครั้งทำให้เกิดความรู้สึกว่าบ้านนี้เมืองนี้วุ่นวายจริงหนอ และมีท่าทีว่าจะเกิดความปั่นป่วนในสังคมถึงขั้นเลือดตกยางออกกันทีเดียว ฉะนั้น จึงขอฝากผู้ใช้กฎหมายที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในเรื่องของการตีความกฎหมายว่า การอุดช่องโหว่ของกฎหมายควรกระทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม หรือเพื่อแก้ไขปัญหาที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม มิใช่การแสวงหาช่องว่างของกฎหมายมาเพื่อประโยชน์ของผู้หนึ่งผู้ใด หรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดโดยเฉพาะ อย่างไรเสียก็ขอให้นึกถึงบรรพบุรุษของเราที่อุตส่าห์เสียสละเพื่อชาติและบ้านเมืองมาอย่างยาวนานด้วย

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น