การค้ำประกันผู้อื่นมักจะมีปัญหาอยู่เสมอ เนื่องจากตอนทำสัญญาค้ำประกันก็คิดว่าไม่มีอะไร แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมา ผู้ค้ำประกันจะได้รับความเดือดร้อนและคิดหาทางแก้ไขปัญหา หากเป็นความเสียหายเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คงไม่ยุ่งยากเท่าไร แต่หากความเสียหายจำนวนมาก จะทำอย่างไรให้ตนไม่ต้องรับผิดชอบ หรือรับผิดชอบให้น้อยที่สุด เนื่องจากความเสียหายดังกล่าวตนไม่ใช่ผู้ที่ก่อขึ้นเอง จึงทำให้เกิดข้อพิพาทกันขึ้นถึงศาลฎีกาหลายเรื่อง ดังเช่นคดีข้างล่างนี้ที่เกิดจากข้อสัญญาค้ำประกันที่ไม่ชัดเจนทำให้เกิดข้อโต้แย้งกัน ส่วนใครผิดใครถูก ขอให้ติดตามอ่านกันดูนะครับ
เรื่องเกิดขึ้นเนื่องจากนายจ้างได้ยื่นฟ้องลูกจ้างและผู้ค้ำประกันต่อศาลแรงงานกลางว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่เป็นตัวแทนขายสินค้าประเภทกะทิ ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่เสนอขายพร้อมรับสั่งสินค้าจากลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าจากโจทก์ หลังจากรับสั่งสินค้าจากลูกค้าแล้ว จำเลยที่ 1 จะนำใบสั่งซื้อสินค้าของลูกค้าเสนอต่อโจทก์เพื่อให้โจทก์จัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าตามใบสั่งซื้อ เมื่อโจทก์จัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าตามที่ต้องการแล้ว ลูกค้าจะลงชื่อรับสินค้าในต้นฉบับใบส่งสินค้าของโจทก์ โดยมีกำหนดชำระค่าสินค้าภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับสินค้า เมื่อถึงกำหนดชำระเงินค่าสินค้าแล้ว จำเลยที่ 1 จะรับต้นฉบับใบส่งสินค้าที่ลูกค้าลงชื่อรับสินค้าไว้พร้อมต้นฉบับใบเสร็จรับเงินของโจทก์ไปเรียกเก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้า เมื่อลูกค้าชำระเงินค่าสินค้าแล้ว จำเลยที่ 1จะส่งมอบต้นฉบับใบส่งสินค้าและต้นฉบับใบเสร็จรับเงินดังกล่าวให้แก่ลูกค้า และนำเงินค่าสินค้าดังกล่าวส่งมอบให้โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันในความเสียหายให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อระหว่างวันที่ 8 มิถุนายน 2544 ถึงวันที่ 17 สิงหาคม 2544 จำเลยที่ 1 เสนอขายพร้อมรับสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าจำนวน 20 ราย เมื่อจำเลยได้รับเงินค่าสินค้าจำนวน 89,907 บาท แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเงินค่าสินค้าดังกล่าวส่งมอบให้แก่โจทก์ไม่ กลับนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวหรือให้แก่บุคคลอื่น โจทก์ทวงถามเงินค่าสินค้าจากจำเลยที่ 1 หลายครั้ง แต่จำเลยที่ 1 บ่ายเบี่ยง จนในที่สุดจำเลยที่ 1 หยุดงานและไม่กลับเข้าทำงานกับโจทก์อีก โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างกับจำเลยที่ 1 พร้อมทวงถามให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 เรียกเก็บจากลูกค้าชำระคืนแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 89,907 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์จริง โดยมีหน้าที่เป็นตัวแทนขายสินค้าพร้อมรับสั่งสินค้าจากลูกค้า เมื่อจำเลยที่ 1 รับรายการสั่งสินค้าจากลูกค้าแล้วก็จะนำใบสั่งสินค้าดังกล่าวมอบให้แก่โจทก์ เพื่อให้โจทก์จัดส่งให้แก่ลูกค้าต่อไป ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้รับต้นฉบับใบส่งสินค้าที่ลูกค้าได้ลงชื่อรับสินค้าไว้พร้อมต้นฉบับใบเสร็จรับเงินของโจทก์ไปเรียกเก็บเงินจากลูกค้า และเมื่อชำระเงินค่าสินค้าแล้ว จำเลยที่ 1 จะมอบต้นฉบับใบส่งสินค้าและต้นฉบับใบเสร็จรับเงินให้แก่ลูกค้า และนำเงินค่าสินค้าดังกล่าวส่งมอบให้แก่โจทก์ต่อไปนั้น ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น ที่จำเลยยอมรับว่ามีหน้าที่รับรายการสั่งสินค้าจากลูกค้าของโจทก์ แต่ตามสำเนาเอกสารที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยที่ 1 ในรายการที่ 1, 6, 8, 9, 10 และ 20 จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้รับรายการสินค้าตามที่โจทก์กล่าวอ้าง เพราะไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ในช่องผู้รับรายการสินค้าจากลูกค้า อีกทั้งใบส่งสินค้าและสำเนาใบเสร็จรับเงินเป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้นภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ออกจากการเป็นลูกจ้างของโจทก์แล้ว เพื่อนำมาฟ้องคดีต่อจำเลยทั้งสองโดยเฉพาะ เพราะในขณะที่จำเลยที่ 1 ยังทำงานเป็นลูกจ้างของโจทก์ยังไม่มีเอกสารทั้งสองรายการตามที่โจทก์กล่าวหาจำเลยที่ 1 ดังนั้นการที่โจทก์นำรายการใบสั่งซื้อสินค้าตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 มาฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ และกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 รับเงินจากลูกค้าโจทก์ไปจึงไม่เป็นความจริง เนื่องจากจำเลยที่ 1 มีหน้าที่เพียงรับรายการสั่งสินค้าจากลูกค้าของโจทก์ แต่หน้าที่การส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าของโจทก์เป็นหน้าที่ของพนักงานอื่นของโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ในการนำส่ง จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจทราบได้ว่าโจทก์ได้มีการส่งสินค้าจริงหรือไม่ เพราะหากลูกค้าไม่ได้รับสินค้าจากโจทก์ จำเลยที่ 1 ก็ไม่สามารถจะไปรับเงินจากลูกค้าตามที่โจทก์กล่าวอ้างได้ ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง หรือหากลูกค้าได้รับสินค้าจริง จำเลยที่ 1 ก็ไม่สามารถเก็บเงินตามรายการได้จริงซึ่งจำเลยที่ 1 จะนำสืบในชั้นพิจารณา จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ยอมเข้าผูกพันต่อโจทก์แต่เฉพาะในกรณีที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายอันเกิดแก่บุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยอมผูกพันเพื่อเข้ารับผิดในความเสียหายที่จำเลยที่ 1 กระทำต่อโจทก์แต่ประการใด ดังนั้นการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองโดยให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันในความเสียหายที่จำเลยที่ 1 กระทำต่อโจทก์จึงไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ให้ไว้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง และแม้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ต้องรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์ก็เป็นเรื่องเฉพาะระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เท่านั้น เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้ค้ำประกันในกรณีความเสียหายที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 89,907 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของโจทก์เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2543 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ได้รับเงินค่าสินค้าจำนวน 89,907 บาทจากลูกค้าจำนวน 20 ราย แล้วไม่นำส่งมอบแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ต้องร่วมกันชำระเงิน 89,907 บาทคืนให้แก่โจทก์
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ที่น่าสนใจคือ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในการทำละเมิดของจำเลยที่ 1ต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำต่อโจทก์หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า สัญญาค้ำประกันระบุว่า ตนขอทำสัญญาค้ำประกันในความเสียหายหรือความผิดใดที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นไม่ว่าโดยเจตนาหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย หรือต้องรับผิดต่อความเสียหายอันเกิดแกบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตนั้น หมายความว่า จำเลยที่ 2 ยอมผูกพันตนเข้ารับผิดในการที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเท่านั้น ไม่ได้หมายความรวมถึงโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า สัญญาค้ำประกันระบุว่า ผู้ค้ำประกันขอทำสัญญาฉบับนี้ไว้ให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการค้ำประกันในความเสียหายหรือความผิดใดที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นไม่ว่าโดยเจตนาหรือประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหายหรือต้องรับผิดต่อความเสียหายอันเกิดแก่บุคคล นิติบุคคลอื่น ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งแม้ช่องว่างที่เว้นไว้หลังข้อความว่า ประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ จะไม่ได้เขียนข้อความว่าโจทก์ แต่เมื่ออ่านข้อความตอนต้นว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์เพื่อความเสียหายที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมหมายความได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 139/2549)
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น