ในปัจจุบันนี้เรื่องการเกษียณอายุก่อนกำหนด(Early Retirement)ยังไม่จืดจางลงไป ตามสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ปัญหาที่เป็นควันหลงจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ยังคงมีค้างอยู่ในศาลที่รอการตัดสินอีกหลายคดี ดังเช่นคดีข้างล่างนี
เรื่องมีอยู่ว่า ลูกจ้างของธนาคาร อ. ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2547 จำเลยได้ประกาศโครงการให้ลูกจ้างของจำเลยเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยกำหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการนี้ได้ผลตอบแทนตามประกาศข้อ 3.2 ว่า จะได้รับเงินค่าชดเชย 6 เท่าของเงินเดือนเดือนสุดท้าย ซึ่งประกาศดังกล่าวขัดกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามคำสั่งของจำเลยที่ 53/2545 ข้อ 5(2) ที่ว่า พนักงานผู้ดำรงตำแหน่งต่ำกว่าผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าลงมา และได้ปฏิบัติงานในช่วงก่อนเกษียณอายุติดต่อกันครบ 15 ปีขึ้นไป ให้จ่ายเงินตอบแทนความชอบในการทำงานให้พนักงานที่เกษียณอายุแทนค่าชดเชยเท่ากับเงินเดือนสุดท้าย 240 วัน ประกาศของจำเลยจึงไม่เป็นคุณยิ่งกว่าคำสั่งที่ 53/2545 ข้อ 5(2) ของจำเลย ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 มาตรา 29 วรรคสอง โจทก์ทั้ง 109 คนเป็นลูกจ้างของจำเลยและทำงานกับจำเลยมาติดต่อกันครบ 15 ปีขึ้นไป เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2547 โจทก์ทั้ง 109 ได้เข้าโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดตามประกาศของจำเลย แต่จำเลยจ่ายเงินค่าชดเชยให้โจทก์ทั้ง 109 เพียงคนละ 6 เดือน ตามประกาศโครงการเกษียณก่อนอายุ ข้อ 3.2 เท่านั้น ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายผลตอบแทนค่าชดเชยที่ขาดคนละจำนวน 2 เดือน แก่โจทก์ทั้ง 109 ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แต่ละสำนวน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ละคน
จำเลยทั้ง 109 สำนวนให้การว่า จำเลยมีประกาศโครงการทางเลือกใหม่(Early Retirement) ประจำปี 2547 โดยกำหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับสิทธิประโยชน์เป็นเงินตอบแทนพิเศษจำนวนเงินเท่ากับเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วย 1 เท่า ของระยะเวลาทำงาน (นับเป็นปี) ทั้งนี้ไม่เกิน 30 เท่า ของเงินเดือนเดือนสุดท้าย หรือไม่เกินกว่าเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยระยะเวลาทำงานที่เหลือ (นับเป็นเดือน) จนถึงเกษียณอายุแล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า บวกด้วยเงินชดเชยจำนวน 6 เท่า ของเงินเดือนสุดท้าย โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเก้าสมัครใจเข้าร่วมโครงการ เป็นการสมัครใจลาออกจากงานก่อนเกษียณอายุ จึงไม่อาจนำคำสั่งที่ 53/2545 ของจำเลยซึ่งใช้กับกรณีพนักงานเกษียณอายุปกติเมื่อพนักงานออกจากงานอายุครบ 60 ปี มาใช้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเก้าสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมที่ปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงมาว่า โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเก้าเป็นลูกจ้างจำเลย มีตำแหน่งต่ำกว่าผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าลงมา และทำงานกับจำเลยครบ 15 ปี ขึ้นไป จำเลยมีคำสั่งที่ 53/2545 เรื่อง การจ่ายเงินสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับค่าชดเชย และเงินตอบแทนความชอบในการทำงาน ซึ่งคำสั่งดังกล่าวออกเพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 และประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง ว่าด้วยข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน การใช้แรงงานหญิง การหักเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด และการรับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงาน ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2545 ต่อมาวันที่ 30 มิถุนายน 2547 จำเลยมีประกาศเรื่องโครงการทางเลือกใหม่ (Early Retirement) ประจำปี 2547 ให้ลูกจ้างของจำเลยผู้เข้าร่วมโครงการร่วมใจจากองค์กรหรือเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษบวกด้วยเงินชดเชย โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเก้า ได้ยื่นใบสมัครโครงการทางเลือกใหม่โดยใบสมัครดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ผู้เข้าร่วมโครงการประสงค์ขอสมัครเข้าร่วมโครงการทางเลือกใหม่ภายใต้เงื่อนไขและหลักเกณฑ์ตามประกาศของจำเลยและได้ทราบหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ต่อมาวันที่ 1 สิงหาคม 2547 โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเก้าพ้นจากตำแหน่งตามโครงการทางเลือกใหม่ตามประกาศของจำเลย เรื่อง รายชื่อพนักงานที่ธนาคารอนุญาตให้ออกจากงานตามโครงการทางเลือกใหม่ โดยจำเลยได้จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษให้บวกด้วยเงินชดเชยจำนวน 6 เท่า ของเงินเดือนเดือนสุดท้ายให้โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเก้าเรียบร้อยแล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเก้าว่า การที่โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเก้าพ้นสภาพจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยตามโครงการทางเลือกใหม่ จำเลยต้องจ่ายเงินตอบแทนความชอบ ในการทำงานตามคำสั่งของจำเลยที่ 53/2545 เรื่อง การจ่ายเงินสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับค่าชดเชย และเงินตอบแทนความชอบในการทำงาน ข้อ 5(2) คือ เท่ากับเงินเดือนอัตราสุดท้าย 240 วัน หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า ประกาศเรื่องโครงการทางเลือกใหม่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งของจำเลยที่ 53/2545 จึงไม่มีผลใช้บังคับ เห็นว่า คำสั่งของจำเลยที่ 53/2545 ดังกล่าวเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับค่าชดเชย และเงินตอแบทนความชอบในการทำงาน ให้พนักงานหรือลูกจ้างของจำเลย เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างว่าด้วยข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานการใช้แรงงานหญิง การหักเงินเดือนค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด และการรับเงิน เพื่อตอบแทนความชอบ ในการทำงาน ประกาศ ณ วันที่ 13 พฤษภาคม 2545 และระเบียบคระกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ข้อ 45, 43 และ 47 ซึ่งกำหนดให้รัฐวิสาหกิจจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานซึ่งถูกเลิกจ้าง ส่วนกรณีพนักงานพ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย แต่ถ้าพนักงานผู้นั้นปฏิบัติงานในช่วงก่อนเกษียณอายุครบ 5 ปี ขึ้นไปให้ได้รับเงินตอบแทนความชอบในการทำงานเป็นจำนวนเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน และถ้าพนักงานผู้นั้นดำรงตำแหน่งต่ำกว่าผู้อำนวยการฝ่าย หรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งเทียบเท่าตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายลงมา และได้ปฏิบัติงานในช่วงก่อนเกษียณอายุติดต่อกันครบ 15 ปีขึ้นไป ให้พนักงานหรือลูกจ้างนั้นได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน เห็นได้ว่าตามคำสั่งของจำเลยที่ 53/2545 มีเจตนารมณ์ที่ใช้แก่กรณีลูกจ้างของจำเลยถูกเลิกจ้างและเกษียณอายุในกรณีปกติ แต่ประกาศเรื่องโครงการทางเลือกใหม่ของจำเลยมีลักษณะเป็นการตกลงเลิกสัญญาจ้างโดยจำเลยให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่พนักงานที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ประกาศ เรื่อง โครงการทางเลือกใหม่จึงมิได้ขัดหรือแย้งกับคำสั่งของจำเลยที่ 53/2545 ทั้งประกาศดังกล่าวมิได้ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของกฎหมายและมิได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บังคับได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเก้าพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2547 ตามโครงการทางเลือกใหม่ด้วยการยื่นใบสมัครเข้าโครงการดังกล่าวและจำเลยอนุญาตให้โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเก้าออกจากงานอันเป็นการเลิกสัญญาจ้างกันโดยความตกลงของทั้งสองฝ่าย จึงไม่ใช่เป็นการพ้นจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยสืบเนื่องมาจากจำเลยมีคำสั่งเลิกจ้าง หรือการเกษียณอายุ โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเก้าไม่มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนความชอบในการทำงานตามคำสั่งของจำเลย ที่ 53/2545 ข้อ 5(2) ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเก้าสำนวนฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7829-7937/2548)เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น