รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

เลิกจ้างมีเหตุอันสมควรหรือไม่?

มีเรื่องแปลก ๆ มาเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการพิจารณาว่าการเลิกจ้างของนายจ้างเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมหรือไม่ ? โดยปกติการพิจารณาก็ต้องดูจากข้ออ้างของนายจ้างว่า การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเกิดจากสาเหตุใด และเหตุดังกล่าวเป็นธรรมหรือมีเหตุอันสมควรหรือไม่ ?

กรณีนี้ปรากฏว่า นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยอ้างว่าลูกจ้างขาดงานติดต่อกันเกินกว่า 3 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้าง ลูกจ้างจึงฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่าการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เรียกร้องค่าเสียหาย ศาลรับฟังได้ว่า ลูกจ้างไม่ไปทำงานโดยไม่ยื่นใบลา เข้าทำงานไม่ตรงเวลาหลายครั้ง มีพฤติการณ์จงใจฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ถือว่าจงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง ละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณ ละทิ้งหน้าที่การงาน ไม่สนใจต่อกิจการของนายจ้าง มิได้อุทิศตนให้สมกับตำแหน่งหน้าที่ เป็นการกระทำที่ไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปโดยถูกต้อง

คุณคิดว่าเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมหรือไม่ ?

รายละเอียดของเรื่องดังกล่าวมีอยู่ว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย มีตำแหน่งหัวหน้าตรวจสอบและหัวหน้าแผนกกรอจัมโบ้ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2545 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิดและมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และจำเลยค้างจ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ 16 ถึงวันที่ 22 เมษายน 2545 ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์

จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยเลิกจ้างเนื่องจากโจทก์ขาดงานติดต่อกันเกินกว่า 3 วัน โดยไม่มีเหตุอันควร ไม่ยื่นใบลาหรือลาด้วยวาจา อันเป็นการผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือสัญญาจ้าง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย การเลิกจ้างเป็นธรรมแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย และค่าจ้างค้างจ่าย แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยกเสีย

โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยกำหนดวันหยุดตามประเพณีสงกรานต์วันที่ 11 ถึงวันที่ 15 เมษายน 2545 รวม 5 วัน โจทก์มิได้มาทำงานในวันที่ 25 มีนาคม 2545 วันที่ 5 และวันที่ 8 ถึงวันที่ 10 กับวันที่ 17 ถึงวันที่ 20 เมษายน 2545 แม้โจทก์จะมิได้ยื่นใบลาต่อผู้บังคับบัญชา แต่สำหรับวันที่ 8 ถึงวันที่ 10 และวันที่ 17 ถึงวันที่ 20 เมษายน 2545 เป็นกรณีโจทก์ลาพักผ่อนด้วยวาจาแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ขาดงานติดต่อกันเกินกว่า 3 วันโดยไม่มีเหตุอันสมควร เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์และโจทก์มีระยะเวลาการทำงานมากกว่า 10 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย 300 วัน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118(5) และมีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างวันที่ 16 ถึงวันที่ 22 เมษายน 2545 ก่อนการเลิกจ้างในวันที่ 22 เมษายน 2545

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ และจำเลยต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ขาดงานติดต่อกันเกินกว่า 3 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย แต่ศาลแรงงานกลางกลับวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ไปทำงานโดยไม่ยื่นใบลา ระหว่างปลายเดือนมีนาคม ถึงเดือนเมษายน 2545 โจทก์เข้าทำงานไม่ตรงเวลาหลายครั้ง มีพฤติการณ์จงใจฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ถือว่าจงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณ ละทิ้งหน้าที่การงาน ไม่สนใจต่อกิจการของนายจ้าง มิได้อุทิศตนให้สมกับตำแหน่งหน้าที่ เป็นการกระทำที่ไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปโดยถูกต้อง จำเลยจึงไล่โจทก์ออกได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมาควร เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบนั้น

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า แม้จำเลยจะอ้างเหตุเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ขาดงานติดต่อกันเกินกว่า 3 วันแต่ในชั้นพิจารณาของศาลทั้งสองฝ่ายก็ยอมรับเรื่องการไม่มาทำงานและเวลาการทำงานของโจทก์ จึงชอบที่ศาลแรงงานกลางจะนำมารับฟังเพื่อประกอบการพิจารณาได้ อีกทั้งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 48 กำหนดให้ศาลแรงงานพิจารณาคดีโดยคำนึงถึงสภาพการทำงาน รวมทั้งฐานะแห่งกิจการของนายจ้างตลอดจนสภาพเศรษฐกิจและสังคมโดยทั่วไป ประกอบการพิจารณาเพื่อกำหนดให้เป็นธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่ายด้วย ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การกระทำของโจทก์เป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย ละทิ้งการงานและกระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยจึงไล่โจทก์ออกได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 การเลิกจ้างโจทก์จึงมีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหาย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8110/2546)

นี่แหละครับ! ที่ว่าแปลกเนื่องจาก แม้เหตุของการเลิกจ้างที่ศาลรับฟังไม่ตรงกับข้ออ้างของนายจ้างในการบอกเลิกจ้างทีเดียวนัก แต่ศาลก็ยังสามารถนำมาพิจารณาวินิจฉัยได้ว่า เป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ มิใช่ยึดถือเฉพาะข้ออ้างของนายจ้างเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ศาลจะพิจารณาเหตุของการเลิกจ้างตามพฤติการณ์ประกอบด้วย มิใช่พิจารณาเพียงข้ออ้างของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่อย่างเดียว ทั้งนี้ คงเป็นเหตุผลเฉพาะเรื่องนี้ และในทางปฏิบัติปกติ นายจ้างควรจะระบุเหตุผลที่แท้จริงในการเลิกจ้างให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการโต้เถียงเกี่ยวกับเหตุผลในการเลิกจ้างในภายหลัง

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น