เรื่องของธุรกิจการค้า “ความลับ”เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง หากคู่แข่งทางการค้าได้ล่วงรู้ ย่อมเป็นการได้เปรียบในการทำการค้าแข่งขันกัน แต่ในด้านกฎหมายแรงงานนายจ้างจะอ้างเหตุในเรื่องที่กลัวหรือเกรงว่าคู่แข่งทางการค้าจะล่วงรู้ถึง “ความลับ” ของตนเอง แล้วโยกย้ายหน้าที่การงานหรือเลิกจ้างลูกจ้าง ซึ่งคู่้้สมรสไปทำงานกับคู่แข่งทางการค้าได้เพียงใด..?
คดีเรื่องหนึ่งโจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งเลขานุการและทำงานตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าแผนกบริการลูกค้าและจัดส่ง มีหน้าที่จัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าตลอดจนติดตามผลงานบริการหลังการขาย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 21,300 บาท ต่อมาวันที่ 18 มิถุนายน 2548 จำเลยได้มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยไม่มีความไว้วางใจที่จะให้โจทก์ทำงานร่วมกับจำเลยต่อไปโดยกล่าวหาว่า สามีของโจทก์ทำงานกับบริษัท บ. ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกขาย ซึ่งบริษัท บ. ได้ประกอบกิจการประเภทเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับกิจการของจำเลย และเนื่องจากตำแหน่งหน้าที่การงานของโจทก์เกี่ยวเนื่องในการบริการลูกค้า ติดต่อลูกค้า ซึ่งได้รับรู้ข้อมูลของลูกค้าและของจำเลยเป็นอย่างดี การทำงานและความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้จำเลยไม่ไว้วางใจที่จะให้โจทก์ทำงานร่วมกับจำเลยอีกต่อไป ข้ออ้างของจำเลยไม่เป็นความจริง จำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด เป็นการเลิกจ้างโจทก์ที่ไม่เป็นธรรม จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเวลา 42 วัน แต่จำเลยจ่ายเพียง 30 วัน ยังขาดอยู่อีก 12 วัน นอกจากนี้จำเลยได้จัดสิทธิประโยชน์ในเรื่องกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หากโจทก์ทำงานอยู่ต่อไปอีก 5 เดือน โจทก์จะได้รับเงินสมทบเพิ่มเป็นร้อยละ 87.5 แต่จำเลยจ่ายให้โจทก์เพียงร้อยละ 75 ซึ่งโจทก์จะได้สิทธิประโยชน์มากขึ้นเป็นเงิน 17,756 บาท การเลิกจ้างทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดรายได้ โจทก์มีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร 2 คน รวมทั้งบุตรที่จะครบกำหนดคลอดอีก 1 คน รวมเป็น 3 คน ขณะเลิกจ้างโจทก์ตั้งครรภ์ใกล้ 7 เดือน โจทก์มีสิทธิได้รับเงินเดือน 2 เดือน สิทธิลาพักคลอดบุตร 90 วัน และได้รับค่าจ้างระหว่างลาคลอดบุตร 45 วัน รวมเป็นเงิน 74,550 บาท หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ โจทก์คิดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เป็นระยะเวลาทำงาน 5 ปี ปีละ 255,600 บาท รวมเป็นเงิน 1,278,000 บาท ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า สิทธิประโยชน์กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และให้รับโจทก์กลับเข้าทำงานในอัตราค่าจ้างเท่าเดิมและนับอายุงานต่อเนื่อง หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 1,278,000 บาท และให้ชำระค่าจ้าง 74,550 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายเครื่องนอน ใช้ชื่อทางการค้าว่า “ส.” จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานครั้งสุดท้ายให้ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าแผนกบริการลูกค้าและจัดส่ง มีหน้าที่บริการลูกค้า จัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าตลอดจนติดตามผลงานเสนอสินค้าและบริการให้ลูกค้าตามนโยบายของจำเลย จากการทำงานและตำแหน่งหน้าที่โจทก์ได้ล่วงรู้รายละเอียดของลูกค้า ข้อมูลในส่วนลดทางการค้า เงื่อนไขการค้าต่าง ๆ กำหนดรายละเอียดการจัดการส่งเสริมการขายของจำเลยเป็นอย่างดี แต่ปรากฏว่าสามีของโจทก์ทำงานกับบริษัท บ. ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกขาย บริษัทดังกล่าวประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายเครื่องนอนเช่นเดียวกันกับจำเลย โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า “ซ.” บริษัทดังกล่าวมีกลุ่มเป้าหมายของลูกค้า ลักษณะของสินค้าเป็นอย่างเดียวและชนิดเดียวกันมีลักษณะการจัดจำหน่าย การตลาด การส่งเสริมการขายอย่างเดียวกัน และได้ประกอบกิจการค้าแข่งขันกับจำเลยเรื่อยมา เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับสามีของโจทก์ ตำแหน่งหน้าที่การงานของสามีโจทก์กับโจทก์ดังกล่าว ประกอบกับในการค้าปรากฏแก่จำเลยว่า มีพฤติกรรมอันเป็นการแสดงว่า บริษัท บ. น่าจะได้รับรู้ถึงข้อมูลทางการค้าของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความไว้วางใจที่จะให้โจทก์ทำงานกับจำเลยอีกต่อไป จึงได้เลิกจ้างโจทก์ โดยจำเลยได้จ่ายเงินให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์มิได้เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานหรือจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าที่ยังขาดอยู่อีก 12 วัน ให้แก่โจทก์ครบถ้วนในภายหลังแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยชดใช้เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลย ที่โจทก์ขอให้จำเลยจ่ายเงินสมทบให้เพิ่มร้อยละ 87.5 เป็นการเรียกร้องโดยอาศัยสิทธิเรียกร้องในอนาคตที่ยังไม่เกิด จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากไม่ไว้วางใจในการทำงานของโจทก์ มิได้เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ตั้งครรภ์ โจทก์ไม่ได้ทำงานให้แก่จำเลย ที่โจทก์ขอค่าจ้างและสิทธิในการลาคลอด เป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิเรียกร้องในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น โจทก์ยังไม่ถูกโต้แย้งสิทธิ จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าจ้างสำหรับการใช้สิทธิคลอดบุตรตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำนวน 180,000 บาท คำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์คัดค้านต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิจารณาว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาปรากฏว่า จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2537 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าแผนกบริการลูกค้าและจัดส่ง มีหน้าที่จัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าตลอดจนติดตามผลงานบริการหลังการขาย เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยได้ชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ โจทก์ได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 219,134.59 บาท แล้ว นาย ส. สามีของโจทก์เคยทำงานกับจำเลยในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขาย และได้ลาออกจากบริษัทจำเลยไปเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2544 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2544 ต่อมานาย ส. ได้ไปทำงานกับบริษัท บ. ซึ่งประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายที่นอนและอุปกรณ์เครื่องนอนเช่นเดียวกับจำเลย ในช่วงที่นาย ส. ลาออกจากบริษัทจำเลยนั้น มีพนักงานของจำเลยลาออกจากบริษัทจำเลยไปทำงานที่บริษัท บ. อีกหลายคน ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์ได้เปิดเผยความลับหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าโจทก์เปิดเผยความลับของจำเลยต่อบริษัทคู่แข่ง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะไม่ไว้วางใจโจทก์เนื่องจากสามีของโจทก์ทำงานให้บริษัท บ. ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าของจำเลยนั้นเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า นาย ส. สามีของโจทก์เคยทำงานกับจำเลยในตำแหน่งหัวหน้าแผนกขาย ได้ลาออกจากบริษัทจำเลยไปทำงานกับบริษัท บ. ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าของจำเลย ต่อมามีลูกน้องของจำเลยซึ่งเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนาย ส. ลาออกไปอยู่กับบริษัท บ. จำนวน 18 คน โจทก์ทำงานตำแหน่งหัวหน้าแผนกบริการลูกค้าและจัดส่ง มีหน้าที่จัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าตลอดจนติดตามผลงานบริการหลังการขายซึ่งเป็นหน้าที่ที่ล่วงรู้และเกี่ยวข้องกับข้อมูลลูกค้าและเงื่อนไขการขาย จำเลยเสนอให้โจทก์ย้ายไปทำงานในตำแหน่งอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับลูกค้าและเงื่อนไขในการขาย แต่โจทก์ไม่ยอมย้าย ดังนี้พฤติการณ์ของโจทก์ประกอบกับข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมมีเหตุให้จำเลยไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทำงานกับจำเลยต่อไป จึงมีเหตุอันสมควรที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ได้ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องฐานเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเสียด้วย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4871/2546)
ความจริงกรณีที่สามีและภริยาทำงานกับบริษัทคู่แข่งทางการค้า หากไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น ไม่น่าจะเป็นเหตุขัดข้องในการทำงานแต่อย่างใด เพราะการบังคับมิให้คู่สมรสไปทำงานในบริษัทซึ่งเป็นคู่แข่งในทางการค้า จะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่กรณีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงที่ว่า สามีของโจทก์เคยทำงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขายของจำเลย และจำเลยเคยเสนอให้โจทก์ย้ายไปทำงานในตำแหน่งอื่น แต่โจทก์กลับไม่ยอมย้าย จึงทำให้เป็นเหตุที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างสามารถนำมาอ้างในการเลิกจ้างได้
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น