การทำหน้าที่การงานนอกจากลูกจ้างจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแล้ว ลูกจ้างยังต้องไม่ใช้หรืออาศัยตำแหน่งหน้าที่ไปแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้อีกด้วย เพราะการกระทำดังกล่าวจะทำให้เกิดความเสียหายต่อนายจ้างได้ และหากนายจ้างทราบหรือจับได้ ก็สามารถนำมาเป็นเหตุที่จะไม่ไว้วางใจในการที่จะให้ลูกจ้างปฏิบัติหน้าที่นั้นต่อไป และอาจเลิกจ้างได้
คดีเรื่องนี้โจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า จำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ให้เป็นผู้จัดหาและจัดจ้างลูกจ้างพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน วันที่ 27 กันยายน 2542 จำเลยที่ 1 ได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างทำหน้าที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินให้จำเลยที่ 2 มีกำหนดเวลาการจ้าง 2 ปี 11 เดือน 23 วัน ค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 20,650 บาท วันที่ 7 กันยายน 2544 จำเลยที่ 1 มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2544 เป็นต้นไป โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์มีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูคนในครอบครัว ต้องซ่อมแซมบ้าน จึงขอค่าเสียหายจาการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 495,600 บาท จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ก่อนครบกำหนดตามสัญญาจ้าง โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยทั้งสองจ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน 1,624,380 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์กระทำผิดฐานลักทรัพย์ วันที่ 3 สิงหาคม 2544 โจทก์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจเมืองไมนซ์ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จับกุมข้อหาลักทรัพย์ในห้างสรรพสินค้า และถูกปรับเป็นเงิน 250 ดอยซ์มาร์ค เหตุเกิดในช่วงโจทก์ปฏิบัติงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ขณะโจทก์ถูกจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจพบบัตรที่มีรูปโจทก์แต่ใช้ชื่อ “ฉมานันท์” ซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของจำเลยที่ 2 โดยมีเลขรหัสประจำตัวสัญลักษณ์ของจำเลยที่ 2 คล้ายคลึงกับบัตรประจำตัวพนักงานที่แท้จริงที่จำเลยที่ 2 ออกให้กับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน บัตรดังกล่าวเป็นเอกสารสิทธิของจำเลยที่ 2 สามารถใช้ผ่านเข้า – ออกภายในเขตหวงห้ามในสนามบิน ในเครื่องบินใช้ซื้อของจากร้านปลอดภาษี และใช้จองห้องพักโรงแรมในต่างประเทศ โจทก์ยอมรับในการสอบสวนว่าโจทก์ยินยอมให้บุคคลภายนอกนำบัตรของโจทก์เป็นตัวอย่างในการทำบัตรที่ถูกตำรวจตรวจพบดังกล่าว การกระทำของโจทก์เป็นการ่วมกับบุคคลภายนอกทำเอกสารปลอมโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 2 โจทก์ทำผิดสัญญาจ้างแรงงานและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยทั้งสอง สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 กำหนดให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิเลิกจ้างได้เพราะการกระทำของโจทก์ถือได้ว่ามีพฤติกรรมอันส่อไปในทางให้เกิดความเสื่อมเสีย ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 ให้สิทธิแก่จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า กรณีกระทำความผิดร้ายแรงคือลักทรัพย์ พฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เป็นผลดีต่อความปลอดภัย รวมทั้งกระทำความผิดทางวินัยทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ชื่อเสียงแก่จำเลยทั้งสองด้วย จำเลยที่ 1 มีข้อผูกพันต่อจำเลยที่ 2 ต้องรับประกันต่อการกระทำของลูกจ้างจำเลยที่ 1 ที่ฝ่าฝืนเรื่องความประพฤติของจำเลยที่ 2 การผิดสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 2 มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้ สาเหตุการเลิกจ้างเกิดจากการกระทำของโจทก์ จำเลยที่ 1 มีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยชอบ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย และค่าเสียหายสูงเกินความเป็นจริง โจทก์อ้างค่าเสียหายโดยนำค่าจ้างอัตราสุดท้ายรวมด้วยเงินพิเศษประจำเดือนคูณด้วยจำนวนเดือนที่เหลือตามสัญญาจ้างเป็นการไม่ชอบ เพราะโจทก์มิได้ทำงานให้จำเลยจริง ค่าเบี้ยเลี้ยงเป็นค่าอาหารให้โจทก์ในการปฏิบัติหน้าที่ในต่างแดน เงินดังกล่าวเป็นเงินในอนาคตไม่แน่นอน โจทก์ไม่มีสิทธินำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหาย โจทก์นำเงินโบนัสมาเป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเป็นการไม่ชอบ โจทก์จะได้โบนัสหรือไม่ ต้องเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 โจทก์เรียกค่าเสียหายมาซ้ำซ้อนสูงเกินเป็นจริง เหตุที่โจทก์อ้างเรื่องภาระครอบครัวเป็นผลไกลเกินกว่าเหตุ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของจำเลยที่ 2 วันที่ 3 สิงหาคม 2544 เวลา 11.15 น. โจทก์ถูกตำรวจเมืองไมนซ์ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จับกุมในข้อหาลักทรัพย์และปรับเป็นเงิน 250 ดอยซ์มาร์ค เหตุเกิดในห้างสรรพสินค้า พฤติกรรมของโจทก์นำไปสู่ความเสื่อมเสียชื่อเสียงของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่อาจให้ความไว้วางใจโจทก์ให้ดูแลผู้โดยสารและทรัพย์สินในห้องโดยสารได้อีกต่อไป โจทก์มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการลักลอบนำเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และบุหรี่ที่มีการจำกัดจำนวนเข้าประเทศหลายครั้ง เมื่อโจทก์ถูกจับที่เมืองไมนซ์ ตำรวจยังพบว่าโจทก์แสดงหนังสือเดินทางประเทศฟิลิปปินส์ และพบบัตรพนักงานของจำเลยที่ 2 มีภาพโจทก์และชื่อ “ฉมานันท์” หมายเลข 882272 270999 ซึ่งเป็นบัตราปลอม บัตรพนักงานของจำเลยที่ 2 นี้โจทก์มีสิทธิเข้าออกสนามบิน เข้าออกเครื่องบิน ซึ่งเป็นพื้นที่เขตหวงห้ามเพื่อความปลอดภัย บัตรสามารถใช้ซื้อสินค้าปลอดภาษี เป็นส่วนลดห้องพักโรงแรมร้านอาหาร โจทก์สามารถใช้บัตรผ่านด่านศุลกากร ด่านตรวจคนเข้าเมือง โจทก์ใช้บัตรปลอมไปในทางมิชอบ การกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดอย่างรุนแรงต่อนโยบายและมาตรฐานของสายการบิน ทำให้จำเลยที่ 2 เสียหาย เสียชื่อเสียง ขาดความเชื่อถือทางธุรกิจ ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งของจำเลยที่ 2 โดยชอบด้วยกฎหมายกรณีร้ายแรง เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และเงินอื่นใด การเลิกจ้างไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เงินเบี้ยเลี้ยงเป็นเงินสวัสดิการ ไม่ใช่ค่าจ้าง โจทก์หมดสภาพจากการเป็นพนักงานเพราะเหตุเลิกจ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัส เงินโบนัสมิใช่ส่วนหนึ่งของค่าจ้าง โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำนวน 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิจารณาว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การที่จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาหรือไม่ คดีนี้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2544 โดยกล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดฐานลักทรัพย์ที่ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และทำบัตรประจำตัวพนักงานของจำเลยที่ 2 ปลอม แต่ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้แน่ชัดว่า โจทก์กระทำผิดฐานลักทรัพย์ในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีจริง และฟังไม่ได้ว่า โจทก์เป็นผู้ทำบัตรประจำตัวพนักงานของจำเลยที่ 2 ปลอม คงรับฟังได้เพียงว่า โจทก์มีบัตรประจำตัวพนักงานของจำเลยที่ 2 ปลอมไว้ในครอบครอง ซึ่งยังไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 2 เท่านั้น
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า บัตรประจำตัวพนักงานของจำเลยที่ 2 เป็นบัตรที่สามารถใช้เพื่อผ่านเข้าออกบริเวณพื้นที่หวงห้ามในสนามบิน ลานบิน และตัวเครื่องบิน ซึ่งเป็นพื้นที่หวงห้ามเพื่อความปลอดภัยของสนามบิน และสามารถนำไปซื้อสินค้าจากร้านค้าปลอดภาษีโดยได้รับส่วนลดร้อยละ 20 และสามารถใช้ซื้อสุรา บุหรี่ ได้ตามจำนวนที่ศุลกากรของแต่ละประเทศกำหนด กับใช้เพื่อการผ่านด่านศุลกากร และด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ โจทก์ย่อมทราบดีดีว่าบัตรประจำตัวพนักงานของจำเลยที่ 2 มีความสำคัญเพียงใด พฤติการณ์ของโจทก์แสดงว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำบัตรประจำตัวพนักงานของจำเลยที่ 2 ปลอม โดยใช้รูปโจทก์บนบัตรดังกล่าวแต่ใช้ชื่อและเลขประจำตัวของบุคคลอื่น กับพฤติกรรมที่โจทก์นำบัตรดังกล่าวติดตัวไปโดยไม่ปรากฏวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน แม้จะไม่ปรากฏว่าข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ใช้บัตรประจำตัวพนักงานปลอมดังกล่าวไปในทางมิชอบ แต่การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสมอันอาจมีผลต่อมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในธุรกิจการบินของจำเลยที่ 2 ได้ ทำให้จำเลยทั้งสองมีเหตุที่จะไม่ไว้วางให้โจทก์ทำงานต่อไป ย่อมมีเหตุอันสมควรที่จำเลยทั้งสองจะเลิกจ้างโจทก์ได้ การที่จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4921/2546)
กรณีข้างต้นตอนแรกจะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่การงานของลูกจ้างแต่อย่างใด เพราะลูกจ้างไปกระทำความผิดทางอาญาต่างหากเป็นเรื่องส่วนตัวไป ส่วนสาเหตุที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างในคดีนี้ สืบเนื่องมาจากเรื่องการที่ลูกจ้างมีบัตรประจำตัวพนักงานปลอมไว้ในครอบครอง ซึ่งบัตรดังกล่าวก่อให้เกิดสิทธิต่าง ๆ มากมาย ถึงแม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังยังไม่ได้ว่า ลูกจ้างได้ทำการปลอมบัตรดังกล่าว แต่พฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าลูกจ้างมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำบัตรปลอมดังกล่าว นายจ้างจึงสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอฝากไว้ให้เป็นข้อเตือนใจสำหรับลูกจ้างอื่น ๆ ด้วย
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น