ในการทำงานนอกจากจะได้รับค่าจ้างตามปกติเป็นค่าตอบแทนในการทำงานแล้ว สิ่งที่พนักงานหลายคนได้วาดหวังไว้ในช่วงต้นปีคือ เงินโบนัสที่จะได้รับจากการทำงานในปีที่ผ่านมา บางคนเตรียมการใช้จ่ายไว้ล่วงหน้าหลายเดือนทีเดียว สำหรับบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีกิจการที่มั่นคงและผลกำไรดี เงินโบนัสก็ย่อมจะดี สำหรับบริษัทหรือสถานประกอบกิจการขนาดกลางหรือขนาดย่อม เงินโบนัสก็จะลดหลั่นลงมาตามอัตภาพ แต่ส่วนใหญ่ของสถานประกอบกิจการหากไม่ใช่ภาวะที่ฝืดเคืองเกินไป มักจะจ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่การทำงานในช่วงปีที่ผ่านมา แม้แต่ในปัจจุบันข้าราชการเองก็ยังได้รับเงินโบนัสกับเขาด้วย ซึ่งวิธีการแตกต่างกันไปจากเอกชน จนบางคนถึงกับงงเมื่อได้เห็นตัวเลขเงินโบนัสที่ได้รับ แต่ป่วยการที่จะกล่าวถึงในที่นี้
คุณล่ะได้รับเงินโบนัสกันคนละเท่าไร ?
อย่างไรก็ดี บางแห่งอาจจะมีปัญหาในการจ่ายเงินโบนัสอยู่บ้างเหมือนกัน โดยอาจจะจ่ายน้อยเกินไปไม่ตรงตามที่กำหนดตกลงไว้ หรือจ่ายไม่ตรงเวลา หรืออาจไม่ยอมจ่ายเลย จึงเกิดการฟ้องร้องกันในศาลแรงงานกลาง ดังเช่นคดีข้างล่างนี้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่ปี 2536 ตำแหน่งผู้จัดการภาคสนาม สำนักงานระยอง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 100,000 บาท ต่อมาเดือนธันวาคม 2539 โจทก์ได้ลาออกจากงาน ในระหว่างทำงานจำเลยตกลงว่าจะจ่ายเงินโบนัส(เงินตอบแทนพิเศษ) ให้แก่โจทก์และพนักงานอื่นโดยจ่ายเป็นรายปี จำเลยจะเป็นผู้กำหนดว่าในแต่ละปีเงินโบนัสที่จะจ่ายจะคำนวณจากเงินเดือนหรือยอดการขายที่ดิน โดยในปี 2537 โจทก์มีสิทธิได้รับเงินโบนัสจำนวนสองเท่าของเงินเดือนคิดเป็นเงิน 200,000 บาท ปี 2538 โจทก์มีสิทธิได้รับเงินโบนัสในอัตราร้อยละหนึ่งของยอดจำหน่ายที่ดิน คิดเป็นเงิน 1,200,000 บาท และในปี 2539 โจทก์มีสิทธิได้รับเงินโบนัสจำนวนสองเท่าของเงินเดือนคิดเป็นเงิน 200,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,600,000 บาท เมื่อถึงกำหนดจ่ายเงินโบนัสในแต่ละปี จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมา ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายเงินโบนัสจำนวน 1,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ทำงานกับจำเลยตั้งแต่ปี 2536 อัตราค่าจ้างเดือนละ 75,000 บาท ต่อมาวันที่ 1 มกราคม 2538 ได้มีการปรับค่าจ้างให้โจทก์เป็นเดือนละ 100,000 บาท ตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา จำเลยไม่เคยจ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงาน โดยในปี 2537 จำเลยปรับค่าจ้างให้แก่พนักงานในอัตราร้อยละ 10 ถึง ร้อยละ 30 แทนการจ่ายเงินโบนัส โจทก์ทำงานบกพร่องทำให้ลูกค้าของจำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ลูกค้าจำนวน 800,000 บาท นอกจากนี้โจทก์ยังกระทำผิดระเบียบของจำเลยในเรื่องการจ้างงานรับเหมาพัฒนาที่ดิน ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(9) ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า เงินโบนัสเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นรางวัลในการปฏิบัติงานให้แก่ลูกจ้าง มิใช่เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ก็มิได้บัญญัติบังคับให้นายจ้างต้องจ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้าง นายจ้างจะจ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างหรือไม่ หากมีการจ่ายเงินโบนัสนายจ้างจะจ่ายด้วยวิธีใด และมีหลักเกณฑ์อย่างไรก็แล้วแต่นายจ้างจะกำหนด หรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างของสถานประกอบกิจการนั้น ๆ ฉะนั้น เงินโบนัสจึงมิใช่ค่าจ้างหรือสินจ้างอย่างอื่นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(9) การเรียกร้องเงินโบนัสจึงไม่อยู่ในบังคับกำหนดอายุความ 2 ปี ของบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดอายุความ ในการใช้สิทธิเรียกร้องเงินโบนัสตามสัญญาจ้างแรงงาน มิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2537 ถึงปี 2539 โดยยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2542 คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น พิพากษายกคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้ออื่นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2244/2548)
เป็นอย่างไรบ้างครับ........คุณคงเข้าใจใช่ไหม ?.... ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้วางหลักในเรื่องอายุความฟ้องร้องคดีไว้ โดยกำหนดอายุความในเรื่องต่าง ๆ หลายกรณี ซึ่งรวมไปถึงเรื่องค่าจ้างหรือสินจ้างด้วย และมีกำหนดอายุความ 1 ปีบ้าง 2 ปีบ้าง 5 ปีบ้าง 10 ปีบ้าง อีกทั้งยังได้มีบทบัญญัติกำหนดไว้ว่า หากเป็นกรณีที่มิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกำหนดอายุความฟ้องร้อง 10 ปี สำหรับกรณีนี้ศาลฎีกาเห็นว่า เงินโบนัสเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นรางวัลในการปฏิบัติงานให้แก่ลูกจ้าง มิใช่เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ก็มิได้บัญญัติบังคับให้นายจ้างต้องจ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้าง เงินโบนัสจึงมิใช่ค่าจ้างหรือสินจ้างอย่างอื่นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(9) และในการใช้สิทธิเรียกร้องเงินโบนัสตามสัญญาจ้างแรงงาน มิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนด 10 ปี.....โอ.เค.นะครับ
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น