แม้ว่าในยุคหนึ่งรัฐบาลสมัยหนึ่งได้เคยออก “หวยบนดิน” แข่งกับ “หวยใต้ดิน” ทำให้การเล่นหวยบนดินเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย และหวยใต้ดินต้องซบเซาไประยะหนึ่ง แต่รัฐบาาาลต่อมารได้พิจารณาเห็นว่า การดำเนินการ “หวยบนดิน” เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงได้ยกเลิกการออก “หวยบนดิน” ไป ซึ่งหลายคนอาจเป็นห่วงว่า “หวยใต้ดิน” จะกลับมาอีกหรือไม่ ความจริงการออก “หวยบนดิน” ไม่ได้ทำให้ปัญหาเกี่ยวกับ “หวยใต้ดิน” หรือ “สลากกินรวบ” หมดไป เพียงแต่ “หวยบนดิน” อาจทำให้เกิดการมอมเมาประชาชนยิ่งขึ้น เนื่องจากหลายคนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นช่องทางทำมาหากินได้ “หวยบนดิน” จึงแพร่หลายไปอย่างรวดเร็วแทรกซึมไปทั่วทุกหย่อมหญ้า แม้กระทั่งในหมู่นักเรียน นิสิต และนักศึกษา ก็ไม่เว้น หลายคนฝากความหวังไว้กับการเสี่ยงโชคมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี บทความนี้ไม่ได้มุ่งวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับข้อดีหรือข้อเสียของ “หวยบนดิน” หรือ”หวยใต้ดิน” แต่เนื่องจากเรื่องข้างล่างนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ กรณีที่ลูกจ้างได้ถูกจับกุมในคดีลักลอบเล่นสลากกินรวบ(หรือ “หวยใต้ดิน”)และศาลได้พิพากษาว่ากระทำผิดจริง ต่อมานายจ้างได้เลิกจ้างลูกจ้างด้วยสาเหตุดังกล่าว ซึ่งฝ่ายลูกจ้างเห็นว่านายจ้างกระทำไม่ถูกต้อง จึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแรงงาน กลางและพิพาทกันถึงศาลฎีกา
รายละเอียดของเรื่องนี้มีอยู่ว่า ลูกจ้างได้ยื่นฟ้องนายจ้างต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานปฏิบัติการ 8 ประจำงานบัญชี กองคลัง มีนาง ภ. เป็นผู้บังคับบัญชา เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2545 เวลา 10.58 นาฬิกา โจทก์ได้ขออนุญาตลาเพื่อออกไปนอกสถานประกอบกิจการโดยตอกบัตรลา แล้วนั่งรถยนต์ของบุคคลอื่นออกมา เมื่อพ้นประตูทางเข้าออก ได้มีเจ้าพนักงานตำรวจ 5 – 6 คน ขอตรวจค้นตัวโจทก์และพบโพยสลากกินรวบในกระเป๋าเสื้อของโจทก์ เจ้าพนักงานตำรวจจึงนำตัวโจทก์ไปดำเนินคดีตามกฎหมาย ในระหว่างที่โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาอยู่นั้น จำเลยได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนโจทก์ในข้อหาว่า กระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ในเรื่องลักลอบเล่นการพนันสลากกินรวบโดยเป็นเจ้ามือโดยไม่ได้รับอนุญาต คณะกรรมการสอบสวนได้สอบสวนแล้วไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า โจทก์กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ต่อมาวันที่ 13 สิงหาคม 2545 จำเลยได้มีคำสั่งลงโทษให้โจทก์ออกจากงานโดยอ้างว่าโจทก์ลักลอบเล่นการพนันสลากกินรวบโดยเป็นเจ้ามือโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับของจำเลย โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์การลงโทษ แต่คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์มีมติยกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์เห็นว่าการออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยและจำเลยไม่มีอำนาจออกคำสั่งลงโทษโจทก์ในข้อหาว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยยกเลิกคำสั่งเรื่องลงโทษให้โจทก์ออกจากงาน และให้รับโจทก์กลับเข้าเป็นลูกจ้างในตำแหน่งเดิมโดยให้มีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2545
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2545 เจ้าพนักงานตำรวจเข้าทำการค้นและจับกุมโจทก์พร้อมของกลางโพยสลากกินรวบภายในสถาบันของจำเลย ผู้ว่าการของจำเลยจึงแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าการกระทำของโจทก์ที่ลักลอบเล่นการพนันสลากกินรวบโดยเป็นเจ้ามือโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับของจำเลยว่าด้วย ระเบียบวินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง พ.ศ. 2524 ข้อ 21 สมควรได้รับโทษให้ออก ผู้ว่าการของจำเลยได้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการดำเนินงานที่เป็นที่ปรึกษาพิจารณาแล้วมีมติให้ลงโทษให้ออก จำเลยจึงมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2545 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งลงโทษ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การลงโทษของโจทก์แล้ว มีมติให้ยกอุทธรณ์ ในการดำเนินคดีอาญา ศาลพิพากษาว่าจำเลย(หมายถึงโจทก์ในคดีนี้)มีความผิดตามฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุก 3 เดือน และปรับ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ริบของกลาง การออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเป็นไปตามข้อบังคับแล้วและการออกคำสั่งลงโทษให้โจทก์ออกจากงานฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงก็ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ศาลแรงงานกลางยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งพนักงานปฏิบัติการ 8 ประจำงานบัญชี กองคลัง เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2545 โจทก์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมด้วยโพยสลากกินรวบ ศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาว่า โจทก์กระทำผิดจริงตามฟ้อง รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี จำเลยมีคำสั่งวันที่ 31 พฤษภาคม 2545 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์อ้างว่า มีกรณีถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงในเรื่องลักลอบเล่นการพนันสลากกินรวบโดยเป็นเจ้ามือโดยไม่ได้รับอนุญาต ผลการสอบสวนเห็นว่า เป็นการกระทำผิดจริงตามข้อกล่าวหา ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับของจำเลย สมควรได้รับโทษให้ออก จำเลยลงโทษโจทก์โดยให้ออกจากงาน โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า การออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยระเบียบวินัย การลงโทษและการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง พ.ศ. 2524 ข้อ 21 เพราะ จำเลยจะมีอำนาจตั้งคณะกรรมการสอบสวนได้ก็ต่อเมื่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์รายงานกล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และจะต้องมีรายงานไปตามลำดับชั้นของผู้บังคับบัญชา คดีนี้ ผู้บังคับบัญชาของโจทก์มิได้รายงานกล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง เพียงรายงานว่าโจทก์ถูกจับกุมเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาเท่านั้น จำเลยจึงไม่มีอำนาจตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นสอบสวนโจทก์
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ข้อบังคับของจำเลย ข้อ 22 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาในการปกครองดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติตนให้ถูกต้องเท่านั้น หากผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิดวินัยและอยู่ในอำนาจที่จะลงโทษได้ก็ให้สั่งลงโทษทันที แต่ถ้าเกินอำนาจลงโทษที่ตนมีอยู่ ก็ให้รายงานผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปเพื่อให้ลงโทษ หาใช่เป็นการจำกัดอำนาจของผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปที่จะลงโทษ หากผู้บังคับบัญชาชั้นต้นไม่ยอมรายงานให้ทราบดังที่โจทก์อ้าง ทั้งคดีนี้ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นของโจทก์ก็ได้รายงานเรื่องที่เจ้าพนักงานตำรวจมาตรวจค้นโต๊ะทำงานของโจทก์ และได้นำตัวโจทก์ไปสถานีตำรวจให้ผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปทราบแล้ว หาใช่ไม่มีการรายงานไม่ การรายงานของผู้บังคับบัญชาดังกล่าวเป็นการรายงานว่ามีการกระทำผิดอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นแล้ว แม้จะมิได้ระบุไว้ในรายงานให้ชัดเจนว่าการกระทำผิดดังกล่าวเป็นการผิดวินัยอย่างร้ายแรงก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เล่นการพนันสลากกินรวบโดยเป็นเจ้ามืออันเป็นการฝ่าฝืนประกาศของจำเลยดังกล่าว แม้การสอบสวนจะฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยไปบ้าง ก็ไม่ทำให้คำสั่งลงโทษโจทก์ดดยให้โจทก์ออกจากงานเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ชอบและไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2242/2548)
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น