รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เลิกจ้างไม่มีเหตุผลเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

นายจ้างรุ่นเก่าหลายคนยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎหมายแรงงานว่า ทำไมกฎหมายจึงได้เข้าไปกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ มากมายนัก เนื่องจากการจ้างแรงงานนั้นเป็นเรื่องสัญญาระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง น่าจะเปิดโอกาสให้คู่กรณีตกลงกันได้ อันเป็นการเคารพในเจตนาของคู่สัญญา หากมีการฝ่าฝืนข้อตกลงรัฐจึงค่อยเข้ามาดูแลแก้ไข ความคิดดังกล่าวเมื่อก่อนนี้ ถือว่าถูกต้อง

แต่ในปัจจุบันสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก การจ้างแรงงานมิใช่เรื่องระหว่างบุคคลสองฝ่ายอีกต่อไปแล้ว ยิ่งในสังคมอุตสาหกรรมที่มีการจ้างแรงงานจำนวนมาก และมีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยมากขึ้น การเอารัดเอาเปรียบคู่สัญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกจ้างมีปรากฏให้เห็นอยู่เนือง ๆ และรุนแรงขึ้น รัฐจึงจำเป็นต้องเข้าไปกำกับดูแลเกี่ยวกับการจ้างแรงงานเพื่อให้เกิดความสงบสุขและเรียบร้อย แต่ขณะเดียวกันก็ยังเคารพเจตนาของคู่สัญญาควบคู่กันไปด้วย กฎหมายแรงงานจึงถูกบัญญัติขึ้นมาโดยมีลักษณะที่มิใช่กฎหมายมหาชนอย่างเต็มที่ เป็นเพียงกฎหมายสังคม(Social Law)เท่านั้น ทั้งนี้ ท่านผู้รู้หลายท่านได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่ากฎหมายแรงงานเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาขน ฉะนั้น การที่นายจ้างและลูกจ้างจะปฏิบัติต่อกัน จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงกฎหมายมากขึ้น มิใช่ยึดถือเอาเฉพาะเจตนาของคู่กรณีเท่านั้น ข้อสัญญาบางอย่างอาจใช้บังคับกันไม่ได้ หากเป็นการขัดหรือแย้งกับกฎหมาย เช่น การบอกเลิกสัญญาจ้างในกรณีที่สัญญาจ้างไม่ได้กำหนดระยะเวลาการจ้างไว้ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้บอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้า เดิมนายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันให้บอกกล่าวล่วงหน้าเท่าไรก็ได้ แม้ไม่ถึงหนึ่งงวดการจ่ายค่าจ้างตามที่กำหนดดังกล่าว แต่ในปัจจุบันนายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันให้บอกกล่าวล่วงหน้าน้อยกว่าหนึ่งงวดการจ่ายค่าจ้างไม่ได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ เรื่องเกี่ยวกับอำนาจในการจ้าง เดิมนายจ้างจะบอกเลิกสัญญาจ้างเมื่อไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแสดงเหตุผลให้ลูกจ้างทราบ แต่ในปัจจุบันหากนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่แสดงเหตุผลไว้ให้ชัดเจนว่าลูกจ้างกระทำความผิดอย่างไร นอกจากนายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามกฎหมายแล้ว นายจ้างยังอาจต้องจ่ายค่าเสียหายในกรณีที่ถือว่าเลิกจ้างไม่เป็นธรรมอีกส่วนหนึ่งด้วย ดังเช่นคดีข้างล่างนี้

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางว่า จำเลยได้จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการจำหน่าย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 78,854 บาท และค่าพาหนะอีกเดือนละ 6,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 15 และวันสิ้นเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2545 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่มีสาเหตุแห่งการเลิกจ้าง การเลิกจ้างดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ โจทก์ยังประสงค์จะกลับเข้าทำงานในตำแหน่ง เงินเดือนและสวัสดิการเดิม หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ โจทก์ขอเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจากจำเลยเป็นเงิน 13,329,786 บาท โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่ง อัตราเงินเดือนและสวัสดิการเดิมโดยไม่ขาดอายุการทำงาน และจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 84,854 บาท นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงาน หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราค่าจ้างเดิมได้ ขอให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นเงิน13,329,786 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามคำขอท้ายฟ้องแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย โจทก์ได้รับค่าจ้างจากจำเลยเดือนละ 78,854 บาท ส่วนผลประโยชน์อื่น ๆ เป็นเงินสวัสดิการที่จำเลยจ่ายให้จึงมิใช่ค่าจ้าง จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ทุจริตต่อหน้าที่ และกระทำการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยถูกต้องและสุจริต การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง ส่วนที่โจทก์ขอกลับเข้าทำงานกับจำเลยนั้น โจทก์ไม่อาจร่วมงานกับพนักงานของจำเลยได้ และจำเลยไม่สามารถจัดหาตำแหน่งงานที่เหมาะสมให้แก่โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เป็นเงิน 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยคดีนี้เป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดเวลา จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างด้วยการเลิกจ้างโจทก์เมื่อใดก็ได้ด้วยการจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสอง และวรรคสี่ ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 และจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 ให้แก่โจทก์ อันเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย โดยจำเลยมิได้กลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์ จึงมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า แม้นายจ้างจะมีสิทธิเลิกจ้างลูกจ้างได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 ก็ตาม แต่การพิจารณาว่าการเลิกจ้างนั้นเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 หรือไม่ ต้องพิจารณาว่ามีเหตุสมควรที่นายจ้างจะเลิกจ้างหรือไม่ ซึ่งเหตุดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจากการกระทำของลูกจ้างหรือเหตุอื่นอันมิใช่การกระทำความผิดของลูกจ้างก็ได้ เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีสาเหตุ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษานั้นชอบแล้ว พิพากษายืน(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9118/2546)

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น