โดยปกติในการเข้าทำงานมักจะมีการเรียกเงินประกันหรือมีบุคคลค้ำประกันในการทำงาน ซี่งกฎหมายกำหนดห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหายในการทำงานของลูกจ้าง แต่ไม่ได้ห้ามการค้ำประกันด้วยบุคคลหรือหลักทรัพย์อื่น โดยมีข้อยกเว้นไว้ในเฉพาะบางกรณีเท่านั้น คดีเรื่องหนึ่งมีข้อพิพาทกันในชั้นศาลฎีกาว่า นายจ้างจะเรียกเก็บเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหายในการทำงานได้หรือไม่ ลองติดตามดูนะครับ
เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ตำแหน่งผู้จัดการอาคารชุด ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 13,759 บาท ประมาณต้นปี 2543 จำเลยได้ให้โจทก์และพนักงานตำแหน่งผู้จัดการอาคารชุดเขียนใบลาออกล่วงหน้าโดยไม่ระบุวันเดือนปี ต่อมาโจทก์แสดงความจำนงให้ถือเอาใบลาออกดังกล่าวเป็นการลาออกโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป ในการทำงานกับจำเลย จำเลยได้หักเงินประกันการทำงานจากเงินเดือนของโจทก์ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2540 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2541 รวมเป็นเงิน 12,000 บาท โจทก์ไม่ได้ทำความเสียหายแก่จำเลย มีสิทธิได้รับเงินประกันการทำงานคืน มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสวัสดิการพนักงานคืน มีสิทธิได้รับเงินปันผลจากกองทุนดังกล่าวเป็นเงิน 3,800 บาท มีสิทธิได้รับการปรับเงินเดือนขึ้นร้อยละ 5 ของฐานเงินเดือนตั้งแต่เดือนมกราคม 2544 ถึงเดือนตุลาคม 2544 เป็นเงิน 6,87905 บาท และค่าจ้างค้างจ่ายวันละ 481.60บาท นับแต่วันที่ 1 – 5 พฤศจิกายน 2544 รวม 5 วัน เป็นเงิน 2,408 บาท จำเลยที่ 1 ได้หักเงินจากค่าจ้างของโจทก์เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพในอัตราร้อยละ 5 ของค่าจ้างและมีหลักเกณฑ์ว่า ในการจ่ายเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถ้าพนักงานที่ทำงานเกิน 3 ปี แต่ไม่ถึง 5 ปี จำเลยจะจ่ายเงินสมทบร้อยละ 50 ของเงินกองทุนของลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2540 ถึงเดือนตุลาคม 2544 จำเลยที่ 1 ได้หักเงินจากค่าจ้างของโจทก์เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงิน 40,763.40 บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินสมทบในส่วนนี้เป็นเงิน 20,832.50 บาท รวมเป็นเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่โจทก์ได้รับ 61,595.99 บาท จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ยอมจ่ายเงินดังกล่าวให้โจทก์ ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันจ่ายเงินสะสมในส่วนของลูกจ้างและเงินสมทบในส่วนของนายจ้างของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงิน 61,595.99 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินประกันการทำงานเป็นเงิน 12,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และเงินเพิ่มตามกฎหมายนับแต่วันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ใช้บังคับ และให้จำเลยที่ 1 จ่ายเงินกองทุนสวัสดิการพนักงานเป็นเงิน 11,349.82 บาท เงินปันผล 3,800 บาท เงินเดือนที่ปรับขึ้น 6,879.50 ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ กับค่าจ้างค้างจ่าย 2,408 บาท พร้อมดอกเบี้ยและเงินเพิ่มตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า ตลอดระยะเวลาปฏิบัติงาน โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและกระทำผิดวินัย ได้รับการลงโทษทั้งการภาคทัณฑ์และตัดเงินเดือน โจทก์ยังคงปฏิบัติงานผิดวินัย ฝ่าฝืนคำสั่ง ไม่รับผิดชอบหน้าที่ ประพฤติตนไม่เหมาะสม โดยจำเลยที่ 1 ได้รับการร้องเรียนจากพนักงานของจำเลยที่ 1 ถึงพฤติกรรมและการประพฤติที่ไม่เหมาะสมของโจทก์หลายประการ จำเลยที่ 1 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่โจทก์ถูกกล่าวหา และเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2544 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้โจทก์ส่งมอบงานและเข้ามาปฏิบัติงาน ณ สำนักงานของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป ปรากฏว่า โจทก์ได้ขาดงานและละทิ้งหน้าที่ติดต่อกันเกินกว่าสามวันทำงาน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและมิได้แจ้งเหตุขัดข้องแต่ประการใด ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป โจทก์ไม่เคยแจ้งหรือแสดงความจำนงลาออกจากการเป็นพนักงานและไม่เคยแจ้งถือเอาใบลาออกที่โจทก์อ้าง เมื่อประมาณต้นเดือนมกราคม 2545 จำเลยที่ 1พบว่าในช่วงที่โจทก์ปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้จัดการอาคารชุดโครงการนิติบุคคลอาคารชุด ร. โจทก์และพนักงานที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบได้ลงลายมือชื่อรับเงินในใบเสร็จรับเงินของนิติบุคคลอาคารชุด แต่มิได้นำเงินเข้าบัญชีธนาคารของนิติบุคคลอาคารชุด เป็นเงินทั้งสิ้น 10,443 บาท ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ ส่อในทางทุจริต เป็นผลให้จำเลยที่ 1 เสียหายและจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินดังกล่าวให้แก่นิติบุคคลอาคารชุด จำเลยที่ 1 ไม่ต้องคืนเงินค้ำประกันการทำงานให้ โจทก์มีสิทธิได้รับเงินปันผลจากกองทุนสวัสดิการพนักงานจัดการทรัพย์สินและชุมชน จำกัด จำนวน 2,711 บาท และได้รับไปแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงกับพนักงานว่าจะทำการปรับขึ้นเงินเดือนให้ทุก ๆ ปี การปรับเงินเดือนต้องได้รับมติให้ความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการและหรือที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น โดยพิจารณาจากผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาของพนักงานแต่ละคน และการปรับเงินเดือนจะได้รับไม่เท่ากัน บางคนอาจไม่ได้รับการปรับเงินเดือน โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างค้างจ่ายตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2545 รวม 8 วัน เป็นเงิน 3,669.04 บาท แต่โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยเพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดนัด โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบในส่วนของนายจ้างจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานร่วมทุนมั่นคง ส่วนเงินอื่น ๆ โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับและไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ย เพราะจำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายผิดนัด แต่โจทก์เป็นฝ่ายไม่ยอมมารับเงิน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์และจำเลยที่ 2 มิได้เป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง หรือเป็นองค์กรทางด้านแรงงานตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบของนายจ้างและไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของเงินสะสมของโจทก์จากจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์ไม่เคยทวงถามจากจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และให้จำเลยที่ 1 คืนเงินประกันการทำงาน 1,557 บาท และจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย 3,669.04 ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 1,557 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 นอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่า การลาออกของโจทก์สมบูรณ์อันทำให้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ และโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนของนายจ้างหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ลูกจ้างที่ประสงค์จะลาออกจากงานต้องยื่นใบลาออกตามแบบพิมพ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งจะมีผลใน 1 เดือน นับแต่วันยื่นใบลาออก เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2544 นาย พ. ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ได้มาพบโจทก์ที่สำนักงานของโจทก์ และแจ้งต่อโจทก์ว่า ให้โจทก์ส่งมอบงานที่รับผิดชอบให้แก่นาย พ. โดยนาย ก. จะมาเป็นผู้จัดการแทนโจทก์ โจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 ย้ายโจทก์ไม่ถูกต้อง จึงขอลาออกจากงานต่อนาย พ. นาย พ. ได้บอกให้โจทก์เขียนหนังสือใบลาออก โจทก์ไม่เขียน แล้วโจทก์เก็บของส่วนตัวกลับบ้าน ไม่มาทำงานให้จำเลยที่ 1 อีก ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา นายจ้างหรือลูกจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบในเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็ได้ แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเกินสามเดือน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสอง โจทก์ได้แจ้งลาออกด้วยวาจาต่อนาย พ. ผู้บังคับบัญชาของโจทก์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2544 ซึ่งนาย พ. มิได้เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่เป็นนายจ้างของโจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 การที่โจทก์ลาออกด้วยวาจาต่อนาย พ. ดังกล่าว จึงไม่มีผลทำให้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สิ้นสุดลง โจทก์ยังมีหน้าที่ต้องมาทำงานให้แก่จำเลยที่ 1 การที่โจทก์ไม่มาทำงานให้แก่จำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2544 ตลอดมานั้น ถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนของนายจ้างจากจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ไปทำงานให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากสำคัญผิดว่าโจทก์ลาออกจากงานแล้ว โจทก์ไม่มีเจตนาขาดงาน นั้น เป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์อุทธรณ์ข้อสองว่าจำเลยที่ 1 หักเงินเดือนของโจทก์เป็นเงินประกันการทำงาน เป็นเงิน 12,000 บาทซึ่งงานของโจทก์ที่ลงลายมือชื่อในใบเสร็จรับเงิน บางครั้งก็ไปเก็บเงินจากลูกค้าเนื่องจากพนักงานการเงินไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากลูกค้าได้ทันนั้น เป็นเพียงการให้บริการแก่ลูกค้า โจทก์ไม่ใช่พนักงานเก็บและจ่ายเงิน งานที่โจทก์ทำไม่เข้าลักษณะงาน 6 ประเภทงานที่นายจ้างจะเรียกเงินประกันการทำงานจากลูกจ้างได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินประกันการทำงานดังกล่าวให้แก่โจทก์ ไม่มีสิทธิหักชดใช้ค่าเสียหาย นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ข้อนี้แม้จะไม่ใช่ข้อที่ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง แต่เป็นอุทธรณ์เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ที่นายจ้างจะเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหายจากการทำงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ได้ ทั้งนี้ แม้โจทก์จะไม่ใช่พนักงานการเงิน แต่การที่โจทก์เป็นผู้จัดการอาคารชุดมีสิทธิที่จะรับเงินจากลูกค้าและออกใบเสร็จรับเงินในนามตนเองได้ ควบคุมกำกับดูแลในการจัดเก็บเงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ควบคุมการนำส่งทางการเงินและบัญชี ควบคุมพนักงานการเงินให้จัดเก็บเงินให้ถูกต้องตามความเป็นจริงและมีอำนาจตรวจสอบความถูกต้องทางการเงินด้วย โจทก์จึงเป็นผู้มีหน้าที่ควบคุมเงินของนายจ้าง อันเป็นงานในข้อ 4(6) ที่นายจ้างสามารถเรียกเก็บเงินประกันการทำงานจากโจทก์ได้ตามประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2541 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องคืนเงินประกันการทำงานตามฟ้องให้แก่โจทก์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6157/2546)
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น