บางครั้งอาจมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องของนายจ้างว่า หากลูกจ้างกระทำความผิดไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ความจริง การที่จะเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นั้น ไม่ได้คำนึงถึงเฉพาะว่า ลูกจ้างมีความผิดหรือไม่เท่านั้น ต้องพิจารณาต่อไปถึงว่ามีเหตุอันสมควรเลิกจ้างหรือไม่ ? ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในแต่ละเรื่อง แม้ลูกจ้างกระทำความผิดที่ไม่ร้ายแรง แต่ถ้ามีเหตุที่ทำให้นายจ้างไม่ไว้วางใจหรือไม่สมควรให้ลูกจ้างนั้นอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ก็อาจไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมได้ ลองติดตามคดีข้างล่างนี้ดูสิครับ
เรื่องเกิดขึ้นเนื่องจากลูกจ้างได้ยื่นฟ้องนายจ้างต่อศาลแรงงานกลางว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าเป็นลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2541 ตำแหน่งผู้จัดการแผนกช่าง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 35,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 30 วัน เป็นเงิน 35,000 บาท การเลิกจ้างเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ขอค่าเสียหายเป็นเงิน 210,000 บาท โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 210,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 35,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานคือ จำเลยกำหนดให้โจทก์ทำงานในวันจันทร์ถึงวันเสาร์ เวลา 9 นาฬิกา ถึง 12 นาฬิกา และ 13 นาฬิกา ถึง 18 นาฬิกา วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2544 โจทก์มีหน้าที่ดูแลและจัดการงานบริการหลังการขายให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ศูนย์บริการกรุงเทพ ได้ปิดทำการและเลิกงานไปก่อนเวลา 16 นาฬิกา และโจทก์ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การลาพักผ่อน กล่าวคือ การใช้สิทธิดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน เมื่อวันที่ 26 ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2544 โจทก์ได้ใช้สิทธิลาหยุดพักผ่อนเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2544 ต่อพนักงานแผนกเดียวกันที่มีตำแหน่งต่ำกว่า และไม่ได้แจ้งการลาให้ผู้บังคับบัญชาทราบล่วงหน้าแต่ประการใด ทั้งไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่จำเลยระบุว่า ถ้าลาพักผ่อนเกิน 2 วัน ต้องยื่นใบลาล่วงหน้าอย่างน้อย 3 สัปดาห์ แต่ใบลาที่โจทก์ทำมีระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์เศษ เท่านั้น เมื่อโจทก์กลับมาทำงานวันที่ 29 มีนาคม 2544 จำเลยมีหนังสือเตือนความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของโจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับหนังสือเตือนของจำเลย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์โดยมีหนังสือลงวันที่ 30 มีนาคม 2544 เลิกจ้างโจทก์วันที่ 31 มีนาคม 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์จงใจขัดคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งละทิ้งหน้าที่การงานไปดังกล่าว จำเลยจึงให้โจทก์ออกจากงานโดยมิพักต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า วันที่ 24 มีนาคม 2544 เป็นวันเสาร์ แต่เป็นเวรวันทำงานของโจทก์ ซึ่งโจทก์จะต้องปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์ซ่อมบำรุงซอย 20 มิถุนา ตั้งแต่เวลา 9 นาฬิกา จนถึงเวลา 18 นาฬิกา แต่โจทก์ได้ปิดสำนักงานและออกจากที่ทำงานไปก่อนเวลา 17 นาฬิกา การกระทำของโจทก์เป็นการออกจากที่ทำงานก่อนเวลาเลิกงานตามปกติ แต่มิใช่โจทก์ไม่มาทำงานในวันดังกล่าวเลย จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่ และโจทก์ได้ลาหยุดพักผ่อนประจำปีเมื่อวันที่ 26 ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2544 โดยไม่ได้ยื่นใบลาล่วงหน้าก่อนสามสัปดาห์และไม่ยื่นใบลาต่อผู้บังคับบัญชา เป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย แต่การกระทำผิดของโจทก์ยังไม่เป็นเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้าง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ศาลแรงงานกลางจึงพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 35,000 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 135,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ และจำเลยจะต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2544 โจทก์ต้องปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์ซ่อมบำรุงของจำเลยที่ซอย 20 มิถุนา ตั้งแต่เวลา 9 นาฬิกา จนถึงเวลา 18 นาฬิกา แต่โจทก์ได้ปิดสำนักงานและออกกจากที่ทำงานไปก่อนเวลา 17 นาฬิกา โดยมิได้แจ้งขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการละทิ้งหน้าที่อันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยได้เนื่องจากหากมีลูกค้าของจำเลยมาติดต่อที่ศูนย์ซ่อมบำรุงในระหว่างเวลาดังกล่าวก็จะไม่มีพนักงานของจำเลยอยู่บริการลูกค้าเลย และนอกจากนี้ยังได้ความว่า เมื่อวันที่ 26 ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2544 โจทก์ได้ลาหยุดพักผ่อนประจำปี โดยไม่ได้ยื่นใบลาล่วงหน้าก่อนสามสัปดาห์และไม่ได้ยื่นต่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจอนุมัติการลาอีกด้วย เป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร มิได้เป็นการกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด และการกระทำของโจทก์ดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการกรำทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยย่อมมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า อุทธรณ์ของจำเลยรับฟังได้ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องของโจทก์(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9175/2546)
ปัญหาที่ปรากฏในคดีนี้น่าสนใจ เนื่องจากข้อวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางและศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานไม่สอดคล้องต้องกัน โดยศาลแรงงานกลางเห็นว่าการกระทำของโจทก์ไม่ถือเป็นการละทิ้งหน้าที่ การที่โจทก์ลาพักร้อนโดยไม่ยื่นใบลาล่วงหน้าให้ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน เป็นเพียงการไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเท่านั้น ยังไม่เป็นเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้าง แต่ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า การกระทำของโจทก์เป็นการละทิ้งหน้าที่อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย(นายจ้าง)ได้ และการที่ไม่ยื่นใบลาพักผ่อนประจำปีให้ถูกต้องเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย(นายจ้าง) จึงมีเหตุอันสมควรที่นายจ้างจะเลิกจ้างได้ ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
คุณมีความเห็นอย่างไรบ้าง……..ลองแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น