หากมีลูกจ้างกระทำการที่ผิดปกติส่อไปในทางไม่สุจริต คุณคิดว่านายจ้างจะทำอย่างไร ?
แม้ลูกจ้างจะยังไม่ได้กระทำการที่เป็นการทุจริตอย่างชัดแจ้ง หรือกระทำการต่อบุคคลอื่นที่มิใช่นายจ้างโดยตรง แต่หากเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องอยู่กับการดำเนินธุรกิจของนายจ้าง ก็อาจถือได้ว่าลูกจ้างได้กระทำความผิดที่เป็นเหตุให้นายจ้างไม่ไว้วางใจได้ ลองติดตามดูคดีข้างล่างนี้นะครับ
เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยตั้งแต่ปี 2516 สังกัดกองปฏิบัติการคลังสินค้า ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยศูนย์บริการสินค้าเร่งด่วน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 48,720 บาท ค่าครองชีพเดือนละ5,890 บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ 54,610 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 27 ของเดือน เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2544 จำเลยมีประกาศที่ 10/2544 เรื่อง หลักเกณฑ์โครงการร่วมใจจากองค์กร เพื่อปรับขนาดโครงสร้างองค์กรให้มีจำนวนบุคลากรอยู่ในระดับที่เหมาะสมสามารถแข่งขันกับภาคเอกชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานที่ปฏิบัติงานกับจำเลยมาเป็นระยะเวลานาน สามารถมีทางเลือกในการประกอบอาชีพตามความสมัครใจโดยมีผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ และอื่น ๆ เป็นอัตราเงินเดือนค่าจ้างสุดท้ายคูณจำนวนปีที่ทำงาน โดยผลประโยชน์ตอบแทนรวมมีจำนวนสูงสุดไม่เกิน 30 เท่าของเงินเดือนค่าจ้างสุดท้าย เงินตอบแทนความชอบในการทำงานเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างสุดท้าย 6 เดือน เงินบำเหน็จหรือเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามระเบียบบริษัทฯ เงินรางวัลประจำปี ตามระเบียบบริษัทฯ และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เสมือนพนักงานเกษียณอายุ โดยให้ยื่นใบสมัครต่อผู้บังคับบัญชาภายในวันที่ 20 มกราคม 2545 โจทก์ยื่นใบลาออกตามโครงการร่วมใจจากองค์กรเมื่อวันที่16 มกราคม 2545 ต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น จนถึงผู้บริหารระดับสูงสุด และได้รับการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาเห็นชอบแล้ว โดยได้ส่งใบสมัครของโจทก์ไปให้คณะกรรมการดำเนินการโครงการร่วมใจจากองค์กรแล้ว ต่อมาวันที่ 6 มีนาคม 2546 จำเลยจึงแจ้งโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเข้าร่วมโครงการ เพราะอยู่ในระหว่างถูกสอบสวนเนื่องจากกระทำความผิดทางวินัย ตามคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย ลงวันที่ 20 มกราคม 2545 จำเลยจึงมีมติไม่อนุมัติให้โจทก์ลาออกตามโครงการดังกล่าว และเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2545 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยให้มีผลในวันที่ 10 กันยายน 2545 โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิด และไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า สาเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะวันที่ 16 กันยายน 2544 โจทก์เป็นธุระช่วยเหลือผู้โดยสารชาวจีน 2 คน ซึ่งถือหนังสือเดินทางปลอมในการเดินทางไปยังประเทศแคนาดา โดยอาศัยประโยชน์จากความเป็นพนักงานของจำเลย และบัตรรักษาความปลอดภัย ซึ่งท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยออกให้พนักงานของจำเลย เพื่อใช้ปฏิบัติงานในเขตหวงห้ามอันเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ความจริงโจทก์พบผู้โดยสารชาวจีนทั้งสองคนที่สนามบินโปเชงตง กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยคำแนะนำของนาย ฮ. นักธุรกิจตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศ และตัวแทนจำหน่ายตั๋วโดยสารของสายการบินต่าง ๆ รวมทั้งสายการบินไทยในกรุงพนมเปญ โดยบุคคลทั้งสองได้ใช้หนังสือเดินทางผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของประเทศกัมพูชา เพื่อเดินทางมายังประเทศไทย และต่อเครื่องบินของสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ เพื่อจะเดินทางไปยังเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา โดยโจทก์ไม่ทราบว่ามีการใช้หนังสือเดินทางปลอม และมิได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำผิดแต่อย่างใด โจทก์พาบุคคลทั้งสองมาที่เคาน์เตอร์ตรวจรับบัตรโดยสารของสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ เพื่อแสดงความมีน้ำใจและเอื้ออารีเท่านั้น ไม่ได้รับค่าสินจ้างแต่อย่างใด เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าหนังสือเดินทางปลอม โจทก์จึงขอให้ดำเนินการตามระเบียบต่อไป หลังจากนั้นทางสายการบินไชน่าแอร์ไลน์มีโทรสารแจ้งให้จำเลยทราบ โจทก์จึงชี้แจงข้อเท็จจริงให้ผู้บังคับบัญชาและสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ทราบถึงสาเหตุที่นำบุคคลทั้งสองมา จำเลยมิได้กล่าวโทษหรือตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยจนล่วงเลยเป็นระยะเวลาถึง 4 เดือน และหลังจากโจทก์ยื่นใบสมัครขอลาออกตามโครงการร่วมใจจากองค์กร จำเลยจึงแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย การไม่อนุมัติให้โจทก์ลาออกตามโครงการร่วมใจจากองค์กร และการลงโทษให้ออกจากการเป็นพนักงานเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ เพราะโจทก์มีปัญหาขัดแย้งกับผู้บริหารระดับสูงและผู้บังคับบัญชาในเรื่องทุจริต เกี่ยวกับการจัดซื้อท่อส่งเอกสาร และเครื่องชั่งน้ำหนัก วัดขนาดของกล่องสินค้าระบบอัตโนมัติและการลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชา การไม่อนุมัติให้โจทก์ลาออกจากโครงการและลงโทษให้ออกจากการเป็นพนักงานจึงเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะทำงานกับจำเลยอีก จึงขอเรียกค่าชดเชย และผลตอบแทนพิเศษ และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ได้เสมือนพนักงานเกษียณอายุตามโครงการร่วมใจจากองค์กร ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายเงินเป็นจำนวน 1,802,130 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้โจทก์มีสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ได้เสมือนพนักงานเกษียณอายุ
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ฝ่าฝืนสัญญาจ้างแรงงาน ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม กล่าวคือ โจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามระเบียบของจำเลยว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2537 ตอนที่ 2 ข้อ 5.12 และข้อ 12 เนื่องจากเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2544 โจทก์ให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารชาวจีน 2 คน ซึ่งถือหนังสือเดินทางปลอม โดยโจทก์ถือหนังสือเดินทางปลอม 2 เล่มมาดำเนินการให้ผู้โดยสาร ไม่ได้นำผู้โดยสารมาแสดงตัวและไม่มีสัมภาระของผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่เห็นว่ามีพิรุธจึงขอให้โจทก์นำผู้โดยสารมาแสดงตัว แต่โจทก์แสดงอาการไม่พอใจ และพูดว่าเจ้าหน้าที่สายการบินไชน่าแอร์ไลน์ ทำให้มีข้อสงสัยว่าโจทก์อาจทราบอยู่ก่อนแล้วว่าผู้โดยสารทั้งสองมีเจตนาที่จะเดินทางไปยังประเทศแคนาดาโดยผิดกฎหมาย โจทก์ถูกตั้งกรรมการสอบสวนก่อนมีประกาศเรื่องหลักเกณฑ์โครงการร่วมใจจากองค์กรของจำเลย โจทก์ขาดคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ไม่มีผู้บังคับบัญชาคนใดกลั่นแกล้งหรือขัดแย้งกับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชย และผลตอบแทนพิเศษและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ได้เสมือนพนักงานเกษียณอายุ ตามโครงการร่วมใจจากองค์กร จำเลยได้จ่ายเงินบำเหน็จหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตลอดจนผลประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพกำหนดให้แก่โจทก์แล้ว เป็นเงินจำนวน 1,769,196.22 บาท ทั้งโจทก์ยังได้รับเงินชดเชยอีก 329,400 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 54,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2544 โจทก์ได้ใช้บัตรผ่านของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยผ่านเข้าไปในบริเวณเคาน์เตอร์ของสายการบินไชน่าแอร์ไลน์และได้ช่วยเหลือผู้โดยสารชาวจีน 2 คนซึ่งใช้หนังสือเดินทางปลอม โดยโจทก์นำหนังสือเดินทางปลอมดังกล่าวไปดำเนินการแทนชาวจีนทั้งสองคนและไม่ได้นำผู้โดยสารทั้งสองคนเข้าไปที่เคาน์เตอร์เพื่อแสดงตนด้วย เมื่อนางสาว อ. ขอให้โจทก์นำผู้โดยสารมาแสดงตัว โจทก์มีท่าทางไม่พอใจ และพูดจาทำนองต่อว่านางสาว อ. ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า พฤติการณ์การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นเรื่องผิดปกติส่อไปในทางไม่สุจริต และอาจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยไม่ไว้วางใจที่จะให้โจทก์ทำงานกับจำเลยอีกต่อไป การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร มิได้กลั่นแกล้งโจทก์ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนอุทธรณ์ข้อที่ 2.2 ที่ว่าการกระทำของโจทก์ตามข้อเท็จจริงเป็นการไม่รักษาเกียรติชื่อเสียงของจำเลยตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือไม่ นั้น เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ทำให้ผลของคำวินิจฉัยในเรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
นอกจากนี้คดียังมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยจะต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ใช้บัตรผ่านของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ผ่านเข้าไปที่เคาน์เตอร์ของสายการบินไชน่าแอร์ไลน์และได้ช่วยเหลือผู้โดยสารชาวจีน 2 คน ซึ่งใช้หนังสือเดินทางปลอมโดยโจทก์นำหนังสือเดินทางไปดำเนินการแทน และมิได้นำผู้โดยสารทั้งสองคนเข้าไปที่เคาน์เตอร์เพื่อแสดงตนต่อหน้านางสาว อ. เจ้าหน้าที่ของสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ด้วย เมื่อนางสาว อ. ขอให้โจทก์นำผู้โดยสารมาแสดงตัว โจทก์ก็แสดงอาการไม่พอใจและพูดจาต่อว่านางสาว อ. พฤติการณ์ของโจทก์เป็นเรื่องผิดปกติส่อไปในทางไม่สุจริตและอาจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหาย การกระทำของโจทก์ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2548)
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น