ปัญหาเกี่ยวกับการลาออกจากการเป็นลูกจ้างอาจจะเกิดขึ้นได้หลายกรณี เช่น
...การยื่นใบลาออกถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับหรือกฎหมายหรือไม่
...ยื่นใบลาออกแล้วขาดหายไปไม่มาทำงานอีกก่อนครบกำหนดลาออก
...นายจ้างอนุมัติให้ออกก่อนถึงกำหนดวันที่ขอลาออก
...นายจ้างจะอนุมัติให้ลาออกหลังจากวันที่ขอลาออก ฯลฯ
แต่ละปัญหามีความยากและซับซ้อนแตกต่างกันไปตามสภาพของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และเจตนาของคู่กรณี สัปดาห์นี้จึงขอนำตัวอย่างคดีในเรื่องดังกล่าวอีกรูปแบบหนึ่งมาให้ศึกษากัน
เรื่องมีอยู่ว่าโจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2536 จำเลยได้จ้างโจทก์เข้าทำงาน ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายออร์เดอร์บิลลิ่ง(order billing) อัตราค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 28,500 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2543 โจทก์ได้ยื่นใบลาออกโดยระบุวันที่ลาออกคือวันที่ 17 พฤษภาคม 2543 เนื่องจากสุขภาพไม่เอื้ออำนวยเป็นเนื้องอกที่มดลูก จำเลยไม่อนุมัติให้ลาออก แต่อนุมัติให้ลาป่วยไปทำการผ่าตัดและจ่ายค่าจ้างตามปกติ โจทก์ขอใบลาออกคืน แต่ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงินและวางแผนแจ้งว่า ได้ทำลายใบลาออกของโจทก์แล้ว โจทก์จึงทำงานกับจำเลยเรื่อยมา ต่อมาในเดือนมีนาคม 2544 โจทก์มีเรื่องขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา จำเลยจึงมีคำสั่งลงวันที่ 24 สิงหาคม 2544 ย้ายโจทก์โดยอ้างว่า เนื่องจากจำเลยพบบิลยกเลิกตกค้างที่หน่วยผลิตซึ่งเป็นบิลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ทำให้มีการสอบสวนความรับผิดของพนักงานที่เกี่ยวกับการติดตามบิลส่งสินค้า แต่ไม่มีการแต่งตั้งกรรมการสอบสวนดังที่กล่าวอ้าง ต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2544 จำเลยได้มีประกาศเรื่องผังสายงานการเงินและวางแผนซึ่งไม่มีชื่อโจทก์ แสดงว่าจงใจปลดโจทก์ออกจากตำแหน่งโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544 ต่อมาวันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 จำเลยได้มีคำสั่งเรื่องแจ้งเพื่อทราบอ้างใบลาออกเดิมของโจทก์โดยอนุมัติย้อนหลังและกำหนดวันเลิกจ้างในวันที่ 1 ธันวาคม 2544 โดยในช่วงวันที่ 2 - 30 พฤศจิกายน 2544 โจทก์ไม่ต้องมาทำงาน แต่จำเลยจะจ่ายค่าจ้างให้ การอนุมัติลาออกดังกล่าวไม่ชอบเนื่องจากโจทก์ระบุวันที่ลาออกแน่นอนแล้ว แต่จำเลยแสดงเจตนาให้โจทก์ทำงานต่อโดยอ้างว่าทำลายใบลาออกไปแล้ว เหตุแห่งการลาออกได้ระงับไปแล้ว จึงถือว่าเป็นการเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544 โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและจำเลยไม่ได้บอกล่าวล่วงหน้า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย 228,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 56,050 บาท ระหว่างโจทก์ทำงานกับจำเลย จำเลยได้เรียกเงินประกันการทำงานจากโจทก์เป็นเงิน 20,800 บาท โจทก์พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของจำเลยโดยไม่ได้ก่อความเสียหายแต่จำเลยไม่ยอมคืนเงินประกันดังกล่าว จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม โจทก์คิดค่าเสียหาย 285,000 บาท โจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีในปี 2544 จำนวน 6 วัน โจทก์ใช้สิทธิหยุดไปแล้ว 2 วันคงเหลือ 4 วัน แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปีดังกล่าวให้ โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การแก้คดีว่า เมื่อโจทก์ยื่นใบลาออก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงินและวางแผนแจ้งกับโจทก์ว่าผลการอนุมัติจะเป็นอย่างไรจะแจ้งให้โจทก์ทราบต่อไป ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 2543 ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงินและวางแผนได้มีความเห็นเกี่ยวกับการลาออกของโจทก์เสนอต่อกรรมการผู้จัดการว่า “อนุมัติให้ลาออกได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2544 เนื่องจากตำแหน่งนี้ยังไม่มีพนักงานทดแทน จึงให้ทำแทนไปชั่วคราวก่อนจนถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2544 จึงพ้นสภาพพนักงาน” ต่อมาวันที่ 5 พฤษภาคม 2543 กรรมการผู้จัดการได้ลงลายมือชื่ออนุมัติตามความเห็นของผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงินและวางแผน ใบลาออกของโจทก์ได้รับอนุมัติโดยมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เหตุที่โจทก์ยื่นใบลาออกเนื่องจากจำเลยตรวจสอบพบว่า โจทก์ปฏิบัติงานนอกหน้าที่ความรับผิดชอบส่อไปในทางทุจริตหาผลประโยชน์สำหรับตนเองโดยรับจองและขายสินค้าผลิตภัณฑ์คอนกรีตของจำเลยโดยมีผลตอบแทนจากลูกค้า ทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องกระทำและมีพนักงานขายดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว เมื่อจำเลยตรวจพบจึงเรียกโจทก์มาว่ากล่าวตักเตือน โจทก์จึงจะลาออกโดยอ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพ จำเลยไม่ได้มีคำสั่งโยกย้ายโจทก์ แต่โจทก์ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลบิลและเก็บรักษาบิลส่งสินค้า ทำหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ติดตามค้นหาบิลส่งสินค้าตกค้างตามหน้าที่ จำเลยจึงมีคำสั่งให้โจทก์ดูแลตรวจสอบบิลส่งสินค้าให้ครบถ้วน มิได้เป็นการกลั่นแกล้งหรือปลดโจทก์ โจทก์ยื่นใบลาออกถูกต้องตามระเบียบแล้ว จึงเป็นสิทธิของจำเลยที่จะขออนุมัติให้โจทก์พ้นสภาพการเป็นพนักงานเมื่อใด การลาออกของโจทก์จึงสมบูรณ์และมีผลทันทีเมื่อถึงวันที่จำเลยอนุมัติ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเลิกกันนับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2544 ตามเจตนาลาออกของโจทก์ มิใช่การอนุมัติลาออกย้อนหลัง และมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม สัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลงวันที่ 1 ธันวาคม 2544 จำเลยให้โจทก์พักผ่อนตลอดเดือนพฤศจิกายน 2544 โดยจ่ายค่าจ้างให้ จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ส่วนเงินประกันนั้น จำเลยจะต้องตรวจสอบการทำงานของโจทก์ก่อนว่าก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่ หนังสือแจ้งให้โจทก์ไม่ต้องมาทำงานในเดือนพฤศจิกายน 2544 โดยยังค้างชำระค่าจ้างอยู่ มิใช่หนังสือเลิกจ้าง โจทก์นำคดีมาฟ้องในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2544 ก่อนสัญญาจ้างสิ้นสุด โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ศาลแรงงานกลางยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินทั้งสองประเภทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินทั้งสองประเภทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนปรึกษากันแล้ว วินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2536 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายออร์เดอร์บิลลิ่ง(order billing) อัตราค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 28,500 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2543 โจทก์ได้ยื่นใบลาออกโดขอลาออกตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2543 ด้วยสาเหตุสุขภาพไม่อำนวย หลังจากนั้นโจทก์ยังทำงานกับจำเลยต่อไปจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 จำเลยได้มีคำสั่งอ้างใบลาออกของโจทก์ว่าจำเลยได้อนุมัติให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2544 และแจ้งให้โจทก์ทราบว่าในช่วงวันที่ 2 - 30 พฤศจิกายน 2544 โจทก์ไม่ต้องมาทำงานแต่จำเลยจะจ่ายค่าจ้างให้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยจะอนุมัติวันลาออกของโจทก์เป็นวันอื่นต่างไปจากวันที่โจทก์แสดงเจตนาได้หรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า การลาออกเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะลาออกเมื่อใดก็ได้ภายใต้ระเบียบของจำเลยซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง คดีนี้จำเลยให้การยอมรับว่าโจทก์ยื่นใบลาออกถูกต้องตามระเบียบ จึงเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะกำหนดวันลาออกของตนเองได้ การที่จำเลยอนุมัติวันลาออกของโจทก์เป็นวันอื่นต่างไปจากวันที่โจทก์แสดงเจตนาโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ตกลงยินยอมด้วย จึงไม่ชอบ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างโจทก์จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้รับฟังไม่ขึ้น เมื่อศาลวินิจฉัยแล้วว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงต้องจ่ายเงินประเภทต่าง ๆ ตามที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้แก่โจทก์(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5779/2546)
ข้อสังเกตในกรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า แม้ลูกจ้างจะแสดงเจตนายื่นขอลาออกโดยกำหนดวันลาออกได้ แต่หากปรากฏว่ามีการตกลงยินยอมกันออกในวันอื่นภายหลังหรือก่อนหน้าวันขอลาออก ก็น่าจะมีผลใช้บังคับได้ โดยถือว่าเป็นการลาออกของลูกจ้างเอง ไม่ใช่การเลิกจ้าง คงไม่สับสนนะครับ
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น