รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เลิกจ้างเพราะเหตุไม่ไว้วางใจ

มีเรื่องคดีที่น่าสนใจเกี่ยวกับเหตุของการเลิกจ้าง การระยะเวลาการคิดสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า การผิดนัดหรือจงใจผิดนัด รวมไปถึงการจ่ายเงินเพิ่ม ขอเชิญติดตามได้เลยครับ

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบริการลูกค้า ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 56,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 27 ของเดือน จำเลยจ่ายค่าจ้างด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของโจทก์ ต่อมาวันที่ 26 กรกฎาคม 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า และจำเลยจ่ายค่าจ้างประจำเดือนกรกฎาคม 2544 จำนวน 44,800 บาท ให้โจทก์เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2544 ไม่ตรงตามเวลาที่ตกลงกัน จึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยและเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 เป็นเงิน 446 บาท และ 15,294 บาท ตามลำดับ และจำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 67,200 บาท ค่าชดเชย 56,000 บาท เงินโบนัส 88,200 บาท และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุผลอันสมควรและไม่เป็นธรรม โจทก์ขอคิดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 672,000 บาท โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยชำระเงิน 899,140 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 883,400 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ จำเลยจ่ายค่าจ้างผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารของโจทก์ทุกวันที่ 27 ของเดือน จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากเมื่อเดือนมิถุนายน 2544 นาย ส. ผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ มีหน้าที่รับเงินค่าเบี้ยประกันชีวิต คำขอเอาประกันชีวิต ใบรับเงินชั่วคราวค่าเบี้ยประกันชีวิตจากพนักงานขายประกันของจำเลยเพื่อนำส่งต่อเจ้าหน้าที่การเงินของฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ได้ทุจริตเบียดบังเอาเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตที่นาย ส. ได้รับจากพนักงานขายประกันไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว และได้ทำลายใบสำคัญรับเงินชั่วคราวค่าเบี้ยประกันชีวิต และใบรับเงินค่าเบี้ยประกันชีวิต โจทก์ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของนาย ส. ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ปกปิดไม่ยอมแจ้งให้จำเลยทราบ ทั้งโจทก์ได้ใช้หรือร่วมกับนาย ส. ทำรายงานอันเป็นเท็จแจ้งแก่จำเลยว่า เอกสารที่ถูกทำลายได้สูญหายไปซึ่งไม่เป็นความจริง การกระทำของโจทก์ถือได้ว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดโดยเจตนาแก่นายจ้าง หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย หรือฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย และเป็นธรรมกรณีร้ายแรง หรือเป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ทั้งจำเลยเลิกจ้างโจทก์ก่อนถึงกำหนดการจ่ายเงินโบนัส และจำเลยเตรียมเงินค่าจ้างประจำเดือนกรกฎาคม 2544 พร้อมที่จะจ่ายให้โจทก์แล้วตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2544 แต่โจทก์ไม่มารับเอง จำเลยไม่ได้ผิดนัดหรือจงใจไม่จ่ายค่าจ้างดังกล่าวให้โจทก์แต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 59,733.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าชดเชย 56,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว วินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์เรื่อง ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและเงินโบนัสว่า โจทก์ไม่ได้ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลย จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมกรณีร้ายแรง ไม่ได้กระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2544 ก่อนถึงวันจ่ายเงินโบนัสเพียง 2 วัน โดยไม่สอบสวนทำให้โจทก์ไม่มีสภาพเป็นลูกจ้างถึงวันจ่ายเงินโบนัส ไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัส จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า แม้โจทก์จะไม่ได้กระทำความผิดดังกล่าว แต่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ เป็นผู้บังคับบัญชาของนาย ส. ผู้มีหน้าที่รับเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตจากพนักงานประกันส่งให้จำเลย ก่อนที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์นาย ส. ได้ทุจริตไม่นำเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตของลูกค้าส่งให้จำเลยหลายครั้งต่อเนื่องกันโดยโจทก์ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว ดังนี้กรณีจึงมีเหตุอันสมควรที่จำเลยจะระแวงสงสัยในความบกพร่องและความซื่อสัตย์สุจริตในการทำงานของโจทก์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยและไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทำงานกับจำเลยต่อไป การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเพื่อไม่ให้โจทก์ได้รับเงินโบนัส อุทธรณ์ของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น

ที่โจทก์อุทธรณ์ในเรื่องระยะเวลาการคิดสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ว่าต้องคิดถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2544 ซึ่งเป็นวันสิ้นเดือนถัดไปนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 ให้สิทธิคู่สัญญาจ้างแรงงานที่มิได้กำหนดระยะเวลาการจ้างไว้บอกเลิกสัญญาโดยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปได้แต่นายจ้างอาจปล่อยลูกจ้างจากงานทันทีโดยจ่ายสินจ้างให้แก่ลูกจ้างตามจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามที่กำหนดที่บอกกล่าวล่วงหน้าก็ได้ คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยกำหนดจ่ายค่าจ้างเดือนละครั้ง ทุกวันที่ 27 ของเดือน จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2544 มีผลเป็นการเลิกจ้างเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2544 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจนถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2544 เท่านั้น ที่ศาลแรงงานกลางให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2544 จึงถูกต้องแล้ว

ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ในข้อสุดท้ายว่า จำเลยผิดนัดและจงใจไม่จ่ายค่าจ้างประจำเดือนกรกฎาคม 2544 จำนวน 44,800 บาท ให้โจทก์ตามกำหนดจึงต้องเสียดอกเบี้ยและเงินเพิ่มให้โจทก์ตามฟ้อง ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า การบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงานจะให้มีผลย้อนหลังไม่ได้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2544 แม้หนังสือดังกล่าวจะระบุว่าให้มีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2544 ก็ต้องถือวว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2544 จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับเดือนกรกฎาคม 2544 ให้โจทก์ภายในกำหนด 3 วัน นับแต่วันที่เลิกจ้างคือภายในวันที่ 28 กรกฎาคม 2544 ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 70 วรรคท้าย เมื่อจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างประจำเดือนกรกฎาคม 2544 ให้โจทก์ในกำหนดดังกล่าวจึงตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2544 พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 55 บัญญัติให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ณ สถานที่ทำงานของลูกจ้าง ถ้าจะจ่าย ณ สถานที่อื่นหรือด้วยวิธีอื่นต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง การที่ปกติจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์โดยการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์จีงเป็นการจ่ายค่าจ้าง ณ สถานที่อื่นหรือด้วยวิธีอื่นนอกจากสถานที่ทำงานของลูกจ้างโดยความยินยอมของโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง จำเลยจึงสามารถจ่ายค่าจ้างประจำเดือนกรกฎาคม 2544 ซึ่งเป็นเดือนที่จำเลยเลิกจ้างให้โจทก์ ณ ที่ทำการของจำเลยอันเป็นสถานที่ทำงานของโจทก์ได้ และเมื่อจำเลยได้เตรียมเช็คจ่ายค่าจ้างดังกล่าวพร้อมทั้งได้แจ้งให้โจทก์มารับ ณ ที่ทำการของจำเลยแล้วตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2544 นับแต่นั้นไปจำเลยจึงไม่ได้เป็นผู้ผิดนัด จำเลยคงตกเป็นผู้ผิดนัดจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2544 เท่านั้น จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 29 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2544 เท่านั้น พฤติการณ์ที่จำเลยผิดนัดไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์เพียง 3 วัน ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่จ่ายค่าจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร จำเลยจึงไม่ต้องเสียเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานจึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยของเงินค่าจ้างประจำเดือนกรกฎาคม 2544 จำนวน 44,800 บาท ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 29 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2544 ให้โจทก์ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9116/2546)

ปัญหาที่ปรากฏในคดีนี้น่าสนใจ แม้จะเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม แต่หากมีเรื่องพิพาทกันขึ้นมาก็จำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ขอให้โชคดีนะครับ

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น