ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ยังไม่จบสิ้นง่าย ๆ ยังมีคดีที่ค้างพิจารณาในศาลแรงงานอีกเป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างอันสืบเนื่องจากนายจ้างหลายรายประสบภาวการณ์ขาดทุน บางรายไม่สามารถทนอยู่ได้ก็เลิกกิจการไป บางรายก็ยังอดกลั้นทนทำต่อไป แต่ก็ต้องมีการปรับปรุงการทำงานตลอดจนลดจำนวนคนลงให้พอเหมาะเพื่อลดค่าใช้จ่าย และหาหนทางเพิ่มรายได้ให้แก่กิจการของตัวเอง ทั้งนี้ แต่ละแห่งก็มีวิธีการที่แตกต่างกัน รายใดที่มีการจัดการที่ดีและสามารถชี้แจงให้ลูกจ้างเข้าใจได้ ก็มีปัญหาน้อยหน่อย เนื่องจากการเลิกจ้างก็ดี การลดค่าใช้จ่ายของนายจ้างก็ดี ย่อมทำให้อีกฝ่ายคือลูกจ้างได้รับความเดือดร้อนอย่างแน่นอน
ตัวอย่างเช่นคดีที่จะนำมาให้ศึกษากันในครั้งนี้
เรื่องมีอยู่ว่า ลูกจ้าง 2 รายเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจ้างว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการส่วนผลิต 1 และผู้จัดการส่วนผลิต 2 ตามลำดับ ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2544 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยไม่เป็นธรรม กล่าวคือ จำเลยยังมีงานมากและจำเลยได้นำเครื่องจักรกลกึ่งอัตโนมัติจากญี่ปุ่นเข้ามาเพื่อผลิตชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศเพิ่ม ทั้งจำเลยได้รับพนักงานใหม่เข้าทำงาน และทำงานเป็น 2 กะ ไม่มีความจำเป็นต้องเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายเพราะขาดรายได้ประจำ ทั้งมีภาระรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในครอบครัว และค่าเล่าเรียนบุตร โจทก์ทั้งสองมีอายุมากแล้วไม่อาจหางานใหม่ได้ โจทก์ทั้งสองทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลา 30 ปี ขอคิดค่าเสียหายจำนวน 5,000,000 บาท สำหรับโจทก์ที่ 1 และจำนวน 1,500,000 บาท สำหรับโจทก์ที่ 2 ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายเงินค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การแก้คดีว่า จำเลยผลิตสินค้าเพื่อขายต่อให้เอเย่นต์ของจำเลย แต่ประสบภาวการณ์แข่งขันทางตลาดทำให้ราคาสินค้าตกต่ำ และเศรษฐกิจอยู่ในภาวะตกต่ำตลอดมา จำเลยจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและลดจำนวนพนักงานโดยพิจารณาจากหน่วยงานที่มีอัตราพนักงานเกินกว่างานที่ทำและไม่มีการจ้างพนักงานทดแทน ปรากฏว่า ส่วนผลิต 1 และส่วนผลิต 2 มีอัตราพนักงานเกินกว่างานที่ทำ จำเลยได้ปรับปรุงหน่วยงานโดยยุบเลิกตำแหน่งผู้จัดการส่วนผลิต 1 และผู้จัดการส่วนผลิต 2 และให้สายงานดังกล่าวขึ้นตรงต่อผู้จัดการทั่วไปฝ่ายผลิต จำเลยจำเป็นต้องเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายลง การที่จำเลยสั่งเครื่องจักรเข้ามานั้นเพื่อรองรับโครงการส่งออกอันเป็นการเสริมรายได้เนื่องจากเครื่องจักรที่มีอยู่เดิมไม่สามารถผลิตสินค้าตามโครงการส่งออกได้ และเครื่องจักรที่สั่งเข้ามาใหม่ก็ไม่ได้ใช้ทำงานทดแทนโจทก์ทั้งสองแต่อย่างใด จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและเงินอื่น ๆ ให้แก่โจทก์ทั้งสองตามกฎหมายแล้ว โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายตามฟ้อง เพราะไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองเพียงประการเดียวว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ ซึ่งศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นบริษัทในเครือของสยามกลการและมีการร่วมลงทุนกับประเทศญี่ปุ่น มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศรถยนต์และรถโดยสาร รวมทั้งอะไหล่และชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องปรับอากาศเพื่อขายต่อให้แก่เอเย่นต์ของจำเลย โจทก์ทั้งสองเคยเป็นลูกจ้างของจำเลย โดยโจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดการส่วนผลิต 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นผู้จัดการส่วนผลิต 2 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2544 โดยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงินทั้งสิ้น 414,869 บาท ให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงินทั้งสิ้น 422,833 บาท อ้างว่าจำเลยประสบภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งก่อนหน้านี้ยอดขายรถยนต์ได้ลดลงจากเคยขายได้ปีละ 600,000 คัน เหลือปีละ 200,000 คัน ตามรายงานเศรษฐกิจการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ปี 2540 ถึงปี 2544 อันส่งผลกระทบต่อจำเลย เนื่องจากจำเลยมีวัตถุประสงค์ในการผลิตเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนต่าง ๆ ยอดขายของจำเลยจึงลดลงด้วย โดยในปี 2541 จำเลยขาดทุน 36,215,000 บาท ปี 2542 กำไร 4,308,000 บาท ปี 2543 ขาดทุน 3,951,000 บาท และปี 2544 ขาดทุน 26,650,000 บาท ตามตารางเปรียบเทียบผลกำไรขาดทุนจาการประกอบกิจการ ดังนั้น นับแต่ปี 2541 ถึง ปี 2544 ผลประกอบกิจการการผลิตของจำเลยขาดทุนรวมทั้งสิ้น 62,508,000 บาท จำเลยมีความจำเป็นต้องปรับลดโครงสร้างบุคลากรและปรับปรุงหน่วยงานให้กระชับเพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งก่อนเกิดวิกฤต ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2544 มีพนักงานลาออก ถูกปลดออก อาสาสมัครลาออก และโอนย้ายไปทำงานที่บริษัทในเครือรวม 185 คนรวมทั้งโจทก์ทั้งสอง ซึ่งนอกจากโจทก์ทั้งสอง จำเลยยังได้เลิกจ้างพนักงานระดับเดียวกับโจทก์ทั้งสองอีก 3 คน คือผู้จัดการระบบข้อมูล 1 ผู้จัดการส่วนสำนักงาน และผู้จัดการส่วนโลจิสติกส์ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน เห็นว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเนื่องจากจำเลยประสบการขาดทุน จำเป็นต้องปรับปรุงสายงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพื่อให้เหมาะสมแก่งานที่ลดน้อยลงมาก ทั้งนี้ เพื่อความอยู่รอดของจำเลย และในคราวเดียวกันนี้จำเลยได้เลิกจ้างพนักงานอื่น ๆ ในระดับเดียวกันกับโจทก์ทั้งสองอีก 3 คน มิได้กลั่นแกล้งเลิกจ้างเฉพาะโจทก์ทั้งสอง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร มิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5604-5605/ 2546)
ข้อน่าสังเกตในคดีนี้ คือ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่านายจ้างประสบภาวะการขาดทุน เนื่องจากกิจการของนายจ้างเกี่ยวข้องกับยอดของการจำหน่ายรถยนต์ เมื่อรถยนต์ขายได้น้อยลงมาก กิจการของนายจ้างรายนี้จึงได้รับผลกระทบอย่างมาก ดังนั้น นายจ้าง(หมายถึงจำเลย)จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงการทำงานในสถานประกอบกิจการเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพื่อให้เหมาะสมกับงานที่ลดน้อยลงมาก แต่ขณะเดียวกันปรากฏว่า นายจ้างได้นำเครื่องจักรกลเข้ามาใช้ในกิจการ จึงทำให้เกิดข้อปัญหาว่า เป็นความขัดแย้งกันหรือไม่ ซึ่งคดีนี้ศาลคงเชื่อตามที่นายจ้างต่อสู้คดีว่า การนำเครื่องจักรเข้ามาใช้เป็นการเสริมรายได้ และมิได้นำมาเพื่อทดแทนตำแหน่งหน้าที่การงานของลูกจ้างทั้งสอง จึงเป็นคนละเรื่องกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักข้อเท็จจริงว่า เหตุผลของฝ่ายใดน่าเชื่อถือและเป็นไปได้มากกว่ากัน เนื่องจากหากจะพิจารณาว่าเมื่อนายจ้างต้องการลดค่าใช้จ่ายลง การลงทุนนำเครื่องจักรใหม่เข้ามาใช้ก็น่าจะชะลอออกไปได้ เพราะเหตุที่การลงทุนนำเครื่องจักรใหม่เข้ามาใช้น่าจะมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการจ้างพนักงานไว้ทำงานต่อไป และในกรณีที่นำเครื่องจักรมาใช้ก็จำเป็นอยู่เองที่ต้องจ้างพนักงานเข้ามาทำงานกับเครื่องจักรดังกล่าวด้วย กรณีนี้ประเด็นสำคัญก็คือ นายจ้างมิได้เจตนากลั่นแกล้งเลิกจ้างเฉพาะโจทก์ทั้งสอง จึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
คุณมีความเห็นอย่างไร ? ลองแสดงความเห็นมาคุยกันก็ได้นะครับ
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น