บางครั้งปัญหาเกี่ยวกับการนับระยะเวลาก็เป็นเรื่องที่ยุ่งขึ้นมาได้เหมือนกัน เนื่องจากหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่แตกต่างกัน ทำให้การตีความกฎหมายไม่ตรงกัน การปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายจึงอาจมีข้อถกเถียงและโต้แย้งกันได้ ดังเช่นกรณีข้างล่างนี้
เรื่องมีอยู่ว่าโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ยื่นฟ้องสำนักงานประกันสังคมเป็นจำเลยต่อศาลแรงงานกลางเนื่องจากสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 ได้ปฏิเสธการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรให้แก่โจทก์โดยอ้างว่า การจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของโจทก์ยังไม่ครบระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวนับได้ว่าเป็นกรณีพิเศษ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้บ่อยนัก แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว จึงนำมาเสนอไว้ให้ได้ศึกษากัน
คดีดังกล่าวโจทก์ยื่นฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างบริษัท ก. ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2543 ตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนการลงทุน ได้รับค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน หากตรงกับวันหยุดจะจ่ายค่าจ้างก่อนวันหยุดนั้น โดยนายจ้างหักค่าจ้างเป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคมมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2543 จนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 ซึ่งเป็นวันที่นายจ้างได้จ่ายค่าจ้างประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2544 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 โจทก์ได้คลอดบุตรและได้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรต่อจำเลยที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 จำเลยโดยสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 มีคำสั่งปฏิเสธการจ่าย อ้างว่าโจทก์จ่ายเงินสมทบมาแล้วน้อยกว่า 7 เดือน โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยที่ 1064/2544 ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ เพราะโจทก์ได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วครบ 7 เดือน โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์และให้จำเลยจ่ายเงินประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรและเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรตามกฎหมายให้แก่โจทก์
สำนักงานประกันสังคมซึ่งเป็นจำเลยให้การว่า การคำนวณค่าจ้างเพื่อการออกเงินสมทบให้ถือเอาค่าจ้างที่คิดเป็นรายเดือน การนับระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 7 เดือน ที่จะก่อให้เกิดสิทธิประโยชน์ทดแทน จึงต้องพิจารณาเงื่อนเวลาควบคู่กับเงินสมทบที่จ่ายแล้ว คือต้องล่วงพ้นเงื่อนเวลา 7 เดือนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย จึงจะเกิดสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน กรณีนี้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 โจทก์คลอดบุตรเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 ยังไม่ครบเงื่อนเวลา 7 เดือนตามที่กฎหมายกำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ ให้จำเลยจ่ายเงินประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรและเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรให้แก่โจทก์ตามกฎหมาย
จำเลยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิจารณาว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างรายเดือนของบริษัท ก. มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2543 ได้รับค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างเดือนละครั้ง ทุกวันที่ 25 ของเดือน หากวันจ่ายตรงกับวันหยุดจะจ่ายค่าจ้างก่อนวันหยุดนั้น นับตั้งแต่โจทก์เข้าทำงาน โจทก์ถูกนายจ้างหักค่าจ้างเป็นเงินสมทบส่งเข้ากองทุนประกันสังคมเรื่อยมาทุกเดือน และในเดือนกุมภาพันธ์ 2544 นายจ้างได้จ่ายค่าจ้างและหักค่าจ้างโจทก์เป็นเงินสมทบเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 เหตุเพราะวันที่ 24 และ 25 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นวันหยุด ต่อมาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 โจทก์คลอดบุตรและได้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรจากจำเลย แต่จำเลยปฏิเสธการจ่าย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรเพราะได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 7 เดือน ตามเงื่อนไขในมาตรา 65 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 แล้วหรือไม่
ปัญหาดังกล่าวจำเลยอุทธรณ์ว่า เงินสมทบต้องเป็นเงินที่นายจ้างหักจากค่าจ้าง การจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าไม่ถือว่าเป็นค่าจ้าง นายจ้างจ่ายค่าจ้างเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ให้โจทก์ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 เงินที่นายจ้างหักไว้จึงไม่ใช่เงินสมทบจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้จ่ายเงินสมทบเดือนกุมภาพันธ์ 2544 แล้ว
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ไม่มีกฎหมายใดบังคับให้นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างรายเดือนในวันสิ้นสุดของเดือน มิฉะนั้นจะไม่ถือว่าเป็นการจ่ายค่าจ้าง และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 47 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้าง ให้นายจ้างหักค่าจ้างของผู้ประกันตนตามจำนวนที่ต้องนำส่งเป็นเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนตามมาตรา 46 และเมื่อนายจ้างได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ให้ถือว่าผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบแล้วตั้งแต่วันที่นายจ้างหักค่าจ้าง” ซึ่งหมายความว่าทุกครั้งที่นายจ้างจ่ายค่าจ้าง นายจ้างต้องหักค่าจ้างของลูกจ้างส่งเป็นเงินสมทบแก่สำนักงานประกันสังคมโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าการจ่ายค่าจ้างนั้นจะได้กระทำเมื่อใด ทั้งข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับนายจ้างกำหนดให้จ่ายค่าจ้างเดือนละครั้งทุกวันที่ 25 ของเดือน หากตรงกับวันหยุดให้จ่ายค่าจ้างก่อนวันหยุดนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าวันที่ 24 และวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นวันหยุด นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ให้โจทก์ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 การที่นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ในวันดังกล่าวจึงไม่ใช่การจ่ายค่าจ้างล่วงหน้า เมื่อนายจ้างได้หักค่าจ้างของโจทก์เพื่อส่งเป็นเงินสมทบแล้วในวันเดียวกันจึงต้องถือว่าโจทก์ได้จ่ายเงินสมทบเดือนกุมภาพันธ์ 2544 แล้วตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 โจทก์จึงเป็นผู้ประกันตนที่ได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 7 เดือน ตามเงื่อนไขในมาตรา 65 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร อุทธรณ์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง โจทก์มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรเหมาจ่ายจำนวน 4,000 บาท ตามมาตรา 66 ประกอบประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร ลงวันที่ 30 มีนาคม 2538 และมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเป็นการเหมาจ่ายร้อยละ 50 ของค่าจ้างตามมาตรา 57 เป็นเวลา 90 วัน ตามมาตรา 67 เมื่อโจทก์ได้รับค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท จึงมีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวจำนวน 22,500 บาท เป็นกรณีที่มีกฎหมายกำหนดจำนวนไว้แน่นอน ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรและเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรให้แก่โจทก์ตามกฎหมาย ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยจะต้องชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเท่าใดไม่จำเป็นต้องแก้ไข (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5211/2546)
คุณคงเห็นด้วยที่ว่า คดีดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นได้บ่อยนัก แต่ก็เป็นปัญหาที่น่าสนใจเหมือนกัน แหม…อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น เป็นเรื่องที่คาบเกี่ยวกันในช่วงระยะเวลาพอดี นับได้ว่าเป็นคดีที่แปลกดีนะครับ
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น